Sunday, May 6, 2007

“พ่อครับ ลูกขอฝากแฟนหน่อย”

เลิกแอบเสียที วิทยา แสงอรุณ นิตยสารเมโทรไลฟ์ นสพ. ผู้จัดการรายวัน-วันเสาร์ 5-6 พฤษภาคม 2007

ตอนที่นายวีพูดประโยคนั้น เขากำลังขับรถเดินทางข้ามจังหวัดอยู่ ห้วงเวลากว่าสามชั่วโมงที่เขาได้อยู่กับพ่อตามลำพังในรถคือโอกาสทองที่เขาเฝ้ารอคอย

“พ่อผมจะได้ไม่หนีไปไหน” เขาหัวเราะ

วีกับผม พบกันครั้งหนึ่ง ทางโทรศัพท์ สำหรับผมแล้ว เขาเหมือน “บูมเมอแรง” ที่สวยงาม เราเคยคุยกันเรื่องชีวิตของเขาหนหนึ่ง เขาหายไปแบบไร้ร่องรอย และแล้ววันหนึ่ง เขาก็กลับมา เหมือนอีกคนหนึ่ง แต่จริงๆ เขาก็เหมือนคนทั่วๆ ไปแหละครับที่ “ความกลัว” ทำอะไรเขาต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาคือ วีคนเดิม ที่ดูจะมีความสุขมากขึ้น

“ตอนอายุ 28 ผมทุกข์มากครับ ผมรู้สึกเก็บกดมานาน หลายๆ คนก็คาดหวังในตัวผม ผมคิดว่า ไม่มีใครจะสามารถยอมรับตัวตนของผม”

เขาเล่าต่อว่า ช่วงหนึ่ง เขาเคยบังคับตัวเองให้คบหากับผู้หญิง ระยะเวลาเพียงปีครึ่ง เขาลองคบกับผู้หญิงไปแล้วสามคน

“ผมก็อยากจะลองปล่อยใจดูน่ะครับว่า ผมจะทำได้หรือเปล่า แต่ก้อ...แค่คิดจะจับมือเค้า ผมก็เหงื่อออกแล้ว เลยไม่เคยแม้จะจับมือใคร ผมก็มาคิดๆ ดู ผมไม่ควรไปสร้างบาปกับเขา อีกอย่าง ผมถามตัวเองว่า แล้วผมจะทิ้งผู้ชายทั้งโลกมาเพื่อเขาเหรอ?”

วีเป็นอีกคนหนึ่งที่บอกว่า “ไม่มีเพื่อน” ถ้าเพียงเขามีเพื่อนเป็นชายรักชายเหมือนเขาสักคน เขาคงมีที่ให้ปรับทุกข์ ได้ระบายความอัดอั้นตันใจที่พูดเรื่องนี้กับใครก็ไม่ได้ และที่สำคัญได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ชีวิตให้กันและกันฟัง เขารู้ว่า เขาพอมีคนรู้จักทางทางอินเทอร์เน็ต แต่การได้พบตัวกันจริงๆ และได้คุยกัน ให้ความรู้สึกและผลลัพธ์ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ความรู้สึกอ้างว้างของผู้ชายคนหนึ่งที่ยังไม่อาจเป็นตัวเองได้ยังดำเนินต่อไป แต่มุมหนึ่งของใจก็เตือนตัวเองว่า ไม่อยากจะทุกข์อย่างนี้ไปตลอดทั้งชีวิต

สำหรับผมเองในฐานะผู้ถ่ายทอดชีวิตและเรื่องราวของชาวบ้าน ก็รู้สึกดีนะครับที่คอลัมน์นี้เป็นเพื่อนคนหนึ่งของเขา และมีส่วนทำให้วีเริ่มมองตัวเองในมุมใหม่ๆ เขาหาข้อมูลอย่างเอาจริงเอาจังในอินเทอร์เน็ต เริ่มอ่านหนังสือ แต่คุณผู้อ่านเชื่อไหมครับว่า จุดหักเหที่ทำให้เขาตัดสินใจ “เลิกแอบ” กับตัวเองคือ หนังสือรวมภาพของหนุ่มหล่อคมเข้ม- คุณยุทธ ทองเจริญ

“วันนั้น ที่แผงหนังสือ ผมตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนั้น พอถือหนังสือไป หน้าก็แดง แต่คนขายก็รับตังค์ไป ไม่เห็นจะมองหน้าผม หรือแสดงอาการอะไร พอผมเดินออกมานะเท่านั้นแหละครับ ผมบอกตัวเองเลยว่า เราทำได้ และนี่ความสำเร็จยิ่งใหญ่ของชีวิต”

คนทั่วๆ ไป อาจจะไม่เข้าใจนะครับว่า…อะไรนักหนา…แค่เดินไปซื้อหนังสือเล่มเดียว แต่ทำไมหัวใจถึงลิงโลดได้ขนาดนี้?

มันคือจุดเริ่มต้น มันคือก้าวแรก ทุกคนย่อมมีก้าวแรกทั้งนั้น หลังจากที่ตัวเรายอมรับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองแล้ว และไม่ต้องการให้มันเป็นความลับอันอึดอัดทรมานอีกต่อไป การที่มีใครบางคนรับรู้ตัวตนของเรา ถึงแม้เขาจะเป็นใครก็ไม่รู้ หรือเป็นเพียงคนหลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ผมคิดว่า มันคือจุดเริ่มต้นที่มีความหมาย เหนือไปจากอ่านหนังสือ และท่องอินเตอร์เน็ต เหมือนเราเรียนหนังสือนั่นแหละครับ มีทฤษฎี ก็ควรมีภาคปฏิบัติ

ผมนึกต่อไปว่า ถ้าแคชเชียร์คนนั้นรู้ เขาคงยินดีไม่น้อยที่ได้ช่วยคนๆ หนึ่งให้ก้าวพ้นอะไรบางอย่างที่รั้งชีวิตเขาไว้ในกองทุกข์ คุณผู้อ่านลองทำดูก็ได้นะครับ แต่ถ้าเกิดแคชเชียร์คนนั้นมองหน้าคุณ ตีสีหน้าประหลาด ก็คิดเสียว่า “เขาก็คงเป็นได้แค่แคชเชียร์ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉัน...บาย”

และจะให้ดี ...ไม่ต้องไปอุดหนุนร้านนี้อีก

ครั้นที่คนเรายอมรับความจริงของตัวเอง จะทำให้ใจเริ่มผ่อนคลายขึ้น วีเองก็เริ่มเปิดตัวเองมากขึ้น และได้พบกับใครบางคนที่สำคัญในชีวิตเขา ผมไม่ได้ถามเขาว่า เขาพบกับแฟนคนปัจจุบันได้อย่างไร รู้แต่ว่า เขาทั้งสองคบกันมาสองปีแล้ว แต่ตอนที่เขาเพิ่งคบกันสองเดือน วีมีเหตุต้องเดินทางไปต่างประเทศ

“ตอนผมต้องเดินทางไปไกลเป็นเดือน ผมก็มาคิดว่า จะเป็นยังไง ถ้าแฟนผมมีปัญหา และต้องการความช่วยเหลือ ผมคงช่วยอะไรเขาไม่ได้”

เขาเลยตัดสินใจ…ฝากแฟนไว้กับพ่อ

คงเป็นของฝากที่น่าแปลกใจที่สุดสำหรับพ่อ แต่วันนั้น คุณผู้อ่านครับ คนที่แปลกใจที่สุดกลับเป็นเจ้าตัวคนฝากของชิ้นสำคัญนั้นเอง

“ป๋า…ลูกมีเรื่องจะบอกนะ” วีเริ่ม หลังจากเตรียมตัว และคิดหน้าคิดหลังดีแล้วว่า ในรถนั่นแหละดีที่สุด การเดินทางขับรถในครั้งนี้คงเป็นครั้งที่สำคัญที่สุดของชีวิตเขา เขาจะไม่ปิดบังอะไรอีกแล้ว

“...ลูกไม่มีความรู้สึกกับผู้หญิงเลย” เขาบอกออกไป และรอคอยคำตอบอย่างจดจ่อ

แต่ป๋าของวีกลับไม่ได้แสดงอาการอะไร บอกเรียบๆ เพียงว่า “ป๋าก็คิดว่าอย่างนั้น…ป๋าไม่ว่าอะไรหรอก เป็นอะไร ป๋าก็รับได้”

ผมว่าตอนนั้น วีคงอยากหยุดรถ แล้วกอดป๋าไว้แน่นๆ แต่ทว่า สิ่งสำคัญยังไม่ได้บอก แล้วเขาก็บอกเรื่องแฟนไป “...เผื่อเขามีปัญหาอะไร เขาจะได้ติดต่อกับป๋าได้นะครับ” แล้วเขาก็เอาเบอร์แฟนให้ป๋าเก็บไว้

ใจจริงแล้ว หลังจากวันนั้น วีเล่าว่า เขาจะอยากบอกคนอื่นๆ ในบ้านให้หมดเกลี้ยงไปเลย พี่สองคนและน้องอีกคน ที่สำคัญคุณแม่ เขาอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ตอนที่ป๋าบอกว่า อย่าเพิ่งบอกออกไป และใช้เวลาสักพัก และแล้วเวลาก็พิสูจน์ว่า ป๋าพูดถูก ในระยะต่อมา น้องเขาก็รู้ความจริงโดยบังเอิญ วีเดาว่า น้องคงพบ “วีซีดี” ที่เขาเผลอวางทิ้งไว้ หรือจิตใต้สำนึกบอกให้เผลอ เขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ

เวลาผ่านไปปีครึ่งหลังจากวันที่พูดความจริงกับพ่อ เขาพบว่า ความรู้สึกกลัวชาวบ้านจะรู้ตัวตนของเขานั้นไม่มีอีกแล้ว เขารู้สึกเป็นตัวของตัวเองอย่างมั่นคง และรู้สึกว่า ต่อไปนี้ เขาจะไม่รู้สึกอึดอัดอยากจะบอกอะไรใครออกไปอีก แต่ถ้าใครอยากจะรู้ เขาจะบอก และเขาจะรอให้คนที่อยากรู้เป็นฝ่ายเข้ามาหาเขาเอง

คุณผู้อ่านครับ ถ้าสิ่งนี้เรียกว่า “power” ผมว่า เขาคงรู้จักมันแล้วละครับ และรู้ว่า จะใช้มันยังไงเพื่อให้ตัวเราหลุดพ้น แทนที่จะปล่อยให้มันมามี power เหนือเรา

ความลับนั้น เมื่อเป็นความลับ และไม่น่ากลัวอีกต่อไปแล้ว เขาก็จะไม่กลัวปฏิกิริยาของคนอื่น คนที่เดินทางมาถึงจุดนี้ได้ คงคล้ายการเป็นผู้รู้ และผู้ตื่นแห่งชีวิตตัวเอง เพราะเมื่อเราถึงจุดที่เราสามารถขึ้นไปยืนได้อย่างมั่นคง และรู้ว่า สิ่งที่เราเป็นไม่ใช่สิ่งที่น่าละอาย หรือเสียหาย-อย่างแท้จริง เมื่อพบสายตาบางคู่ คนบางคนที่ไม่คิดอย่างนั้น โปรดบอกตัวเองว่า เขาเองนั่นแหละยังไม่ “หลุดพ้น”

และในวันหนึ่ง มารดาของเขาซึ่งเป็นคนที่เขาห่วงที่สุด ก็ได้รับรู้ความจริง วีคงเป็นผู้ชายอีกคนที่เลิกแอบแล้วพบว่า เขาค้นพบอะไรบางอย่างในตัวคนอื่นโดยเฉพาะคนใกล้ชิด เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นได้กับมารดา วันนั้นวีได้ยินแม่พูดว่า

“พาเขามาไหว้แม่ละกัน”

-end-

All rights reserved

16 comments:

Anonymous said...

คุณวีเป็นเกยืที่โชคดีมากๆ ครอบครัวเข้าใจ ที่เจ๋งที่สุดคือ กล้าฝากแฟนไว้กับพ่อด้เวย เจ๋งมาก นับถือค่ะ

Anonymous said...

ผมได้รู้จักcolumnนี้มา 3-4ปีแล้ว เหมือนเพื่อนที่ทำให้เรารู้สึกตัวเบาขึ้น

เคย email หาพี่ยอดแล้วเขียนว่า แค่ยอมรับสิ่งที่เป็นก็ตัวเบาขึ้น 50%แล้ว อะไรก็ตามทุกเรื่องถ้าเรายอมรับก็เหมือนกับการเปิดประตูอีกด้าน ที่มีแสงสว่างรออยู่

ส่วนการจะเริ่มบอกสิ่งแวดล้อมว่า เรา....มันต้องเตรียมตัวแต่สนุก....แต่ประเด็นที่อยากบอกแม่ คนในครอบครัว สำหรับผมเริ่มที่เมื่อมีความรัก...อยากบอกแต่...ก็ยังไม่ได้บอก...คงยังไม่มีโอกาส หรือเรากลัวความรู้สึกที่จะทำให้แม่เครียดกับเรื่องนี้..เคยคุยกับคนรักเรื่องนี้เขาก็คิดเหมือนกัน...แต่ก็คงยังไม่ได้บอกเพราะกลับมาโสดแล้น....

ส่วนความรู้สึกเมื่อเดินไปซื้อหนังสืออย่างว่า ครั้งแรกก็เหมือนวีแหละครับ แต่เดี่ยวนี้เหรอ 555 เหมือนเดินไปซื้อ นสพ.

เอาใจช่วยทุกคนที่กำลังจะ come out ;)

Anonymous said...

ผม(อายุ37)ยังไม่ได้บอกพ่อแม่ ครอบครัวอาจจะเป็นคนใกล้ตัวกลุ่มสุดท้ายที่ผมบอก เพราะ
1.ผมรักครอบครัวผมมาก ผมทำร้ายเขาไม่ได้
2.ผมต้องแน่ใจก่อนว่า เวลาที่สุกงอมมาถึงแล้วและครอบครัวผม"พร้อม"
3.ผมอยากจะพิสูจน์ให้ครอบครัวรู้ว่า ผมรักเขามาก เขามีลูกที่เขารักและภูมิใจ เผื่อมันจะช่วยให้เขากลืนน้ำตาลงคอไปแล้วเริ่มพูดคำแรก หลังจากที่ผมสารภาพ
4.ผมต้องมีคู่รักก่อน เพื่อพ่อแม่จะได้คลายกังวลจากการที่ผมเปลี่ยนแฟน และช่วยให้เขายอมรับชีวิตคู่แบบนี้ได้ดีขึ้น แต่คู่รักของผมจะอยู่ในฐานะ"เพื่อนพิเศษ"

ผมไม่ได้รอวันนั้น แต่ผมจะรู้เมื่อมันมาถึงแล้ว

Vitaya Saeng-Aroon said...

มีคนมาเขียนแล้ว อ่านแล้วครับ...แล้วคนอื่นๆ ละ
ครับ คิดยังไงกัน?

Anonymous said...

พ่อแม่ยังรักเราแน่นอน
เราทุกคนหวังว่าเขาจะยอมรับเราได้
แล้วเราคิดว่าเขาจะเข้าใจเราไม๊? ผมคิดว่าไม่มีทาง

เวลาเรามีแฟน พ่อแม่คิดถึงว่าหลังประตูห้องที่ปิดของเรา ลูกของเขาทำอะไร?
โก้งโค้งให้แฟนที่ล่อนจ้อน”ทำ”จากข้างหลัง
กระแทกหน้า”ใช้ปาก”กับแฟนที่ร้องโหยหวน
แล้วลูกของเขาทำแบบนี้กันแฟนทุกคนที่เลิกกันไปรึเปล่า?
“ลูก”ทำแบบนี้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่?
ทำไมไม่ชอบผู้หญิงล่ะ แล้วมีsexจะได้รักกันไง...มีลูก มีครอบครัวไงล่ะ
เวลาเราร้องไห้หรือเสียใจเพราะความรัก เขาทำได้แค่เวทนาเรารึเปล่า?
หรือเขาคิดว่า เดี๋ยวมันก็หา(ผัว)ใหม่ได้ แล้วไม่นานก็เลิก มันเป็นแบบนั้นเอง

อย่างประเสริฐที่สุดเขาก็ยอมรับได้ แต่ไม่มีทางเข้าใจ
แล้วทุกๆคืน คุณจะให้เขาหลับไปพร้อมกับความไม่เข้าใจนั้น
ทำไม? ทุกคืนๆๆจนเขาจากเราไป ทำไม?

Anonymous said...

ผมว่าเรื่องนี้มีหลายปัจจัยนะคุณเอ คงต้องอาศัยความพร้อมหลายๆอย่าง อย่างที่คุณ cyui ว่า

ผมขอเสริมนิดหน่อยนะ

1)พ่อ แม่ เรามีทัศนะเรื่องนี้อย่างไร
2)พฤติกรรมของเรา
3)ความรัก ความเข้าใจ ระหว่างเราและคนรัก มาก น้อย ขนาดไหน
4)เรายอมรับตัวเองหรือปล่าว
5)อื่นๆๆ ช่วยกันตอบนะครับ

แต่ก็ใช่ว่า จำเป็นที่ต้องบอกพ่อ แม่ เขาอาจเข้าใจแบบอ้อมๆ แล้วบอกเราแบบอ้อมก็ได้

นึกถึงภาพบนโต๊ะอาหารที่มีคนในครอบครัว คนรัก และเรา คงมีความสุข นะครับ

เอาใจช่วยทุกคนครับ ต้องอาศัยเวลา... ;)

Anonymous said...

พ่อแม่ยังรักเราแน่นอน
เราทุกคนหวังว่าเขาจะยอมรับเราได้
แล้วเราคิดว่าเขาจะเข้าใจเราไม๊? ผมคิดว่าไม่มีทาง

Anonymous said...

ถึง คุณ cyui การบอกครอบครัวถึงตัวตนของคุณเอง ไม่ถือว่าเป็นการทำร้ายใครเลยน่ะครับ ในทางตรงกันข้าม ผมว่าคุณกำลังทำร้ายตัวเองอยู่น่ะ

นอกจากนั้นแล้ว อย่าประเมินความสามารถในการรับรู้ของผู้ใหญ่ในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อและแม่ของเราเอง ตามสุภาษิตที่ว่า ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน ท่านอาจจะรู้จักตัวเราเป็นอย่างดีแล้ว เพียงแต่ไม่กล่าวถึงมากกว่าครับ

Unknown said...

เรื่องซื้อหนังสือโป๊ เล่มแรกในชีวิตเนี่ย
สำหรับสาวอิสานรอรักมั่นตื่นเต้นมากค่ะ
หนังสือเล่มนั้นชื่อ "นวลนาง"
แต่ไม่ได้เอาไปเปิดดูผู้หญิงนะคะ เปิดดูผู้ชายค่ะ
ถึงมันจะเป็นหนังสือ ชาย - หญิง ทั่วไป สาวอิสานรอรักก็อายอยู่ดี...

เรื่องการเปิดตัวกับพ่อแม่ นี่ ไม่ง่าย สำหรับทุกคนหรอกนะคะ (อันดับแรกคุณต้องยอมรับตัวคุณเองก่อน) ถ้าคุณตกอยู่ในสิ่งแวดล้อมดังนี้ คุณจะทำอย่างไร

1.แถวละแวกบ้านคุณมีกะเทยร้านทำผม แล้วถูกผู้ชายหลอกเอาเงิน แล้วคุณแม่คุณก็เอามาเล่าให้ทุกคนในบ้านฟังตอนกินมื้อเย็น แล้วพ่อคุณก็ สบถออกมาว่า "พวกวิปริต โดนผู้ชายหลอกก็สมควรแล้ว"
คำถาม คุณจะกล้าบอกใครในบ้านไหม?

2. ถ้าคุณเป็นลูกชายคนเดียว (เน้นว่าคนเดียวจริงๆ แล้วเป็นที่จะได้รับมรดกทั้งหมดจากปู่ย่าตายาย)ของ ผู้นวยสถาบันการเงินแห่งเดียวในประเทศไทย คุณมีรายการวิเคราะห์ข่าวที่ต้องออกรายการทุกวัน เกียรติบัตรทางการศึกษาที่คุณสั่งสมา มากมาย การันตีความมีคุณภาพของคุณ คุณเป็นความหวังในทุกสิ่งที่อย่างที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งจะมีได้ ที่ครอบครัว คาดหวังไว้
ถาม - คุณจะเลือกยอมรับความจริงไว้กับตัวคุณคนเดียวหรือคุณจะทำลายความหวังของใครหลายคน

3. ถ้าคุณเป็นลูกชายนายพล ครอบครัววงศ์ตระกูลของคุณไม่เคยมีคำว่า กะเทย หรือ เกย์ ปรากฏใน สาแหรกพันธุกรรมของคุณมาก่อน (อาจจะมีแต่ทุกคนปิดเงียบ) ไม่มีแบบอย่างที่นำร่องไว้ก่อน พ่อถามคุณทุกวันว่าเมื่อไหร่จะแต่งาน แล้วสำทับ "เกิดมาเป็นผู้ชายชาติหนึ่งแล้วก็ต้องตีหม้อสิวะ? จะได้ไม่เสียชาติเกิด"
ถาม คุณจะเริ่มต้นอย่างไร อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของคุณ

4. ถ้าคุณถูกจับให้แต่งงานกับ ลูกผู้ดีมีสกุล ผู้ดีแปดสาแหรกเก้าไม้คอน คุณมีลูกแล้วเรียบร้อย คุณจะเปิดเผยตัวตนเพื่อ hidding no more ไหม?
ถาม คุณจะรองรับ หรือ รับมือกับ สถาบันครอบครัว และการเติบโตขึ้นมาของลูกคุณอย่างไร?

5.ถ้าคุณเติบโตมาในครอบครัวคนจีน ที่รักลูกชายมากกว่าลูกสาว คุณเป็นความหวังในการสืบทอดทายาท เพื่อขยายธรุกิจของครอบครัว การแต่งงานเพื่อเครือข่ายธุรกิจจะเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะพ่อแม่คุณเตรียมการไว้แล้ว
ถาม - คุณจะรับมือกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร

ไม่ได้คิดอะไรในแง่ร้ายนะคะ ถ้าหากว่าการยอมรับว่าตัวคุณเป็นอะไร กับครอบครัว คุณ แต่ต้องแลกกับการพังทะลายลงของสัมพันธภาพของคุณใกล้ตัวคุณ คุณจะเลือกอะไร

สาวอิสานรอรัก มีเพื่อนเป็นผู้อำนวยสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งค่ะ แต่งงานแล้วมีลูกแล้ว คนยุคนี้(ยุคพ่อแม่เรา) เชื่อว่า โลกใบนี้ มีผู้ชาย และผู้หญิงเท่านั้น นอกนั้น ถือว่าเป็นพวกวิปริต ทั้งหมด เมื่อใดก็ตามที่เขามีสัมพันธภาพทางกายแล้ว เขาจะกลายเป็นพวกวิปริติไปด้วย กลายเป็นหนึ่งในหมู่มวลกะเทย(ร้านทำผม) ทั้งหลาย

สาวอิสานฯ คิดว่า เราควรเริ่มต้นด้วยการ educate เพื่อให้ สังคมเปิดรับ กับความหลากหลาย ของการเลือกใช้ชีวิตค่ะ

แต่ใครจะเริ่มละคะ เพราะตัวอย่างของคนที่เปิดเผยตัวต่อสาธารณะ มีจุดจบเดียวกันคือ ถูกปฏิเสธจากสังคม

ยกตัวอย่าง นายกเทศมนตรีของสหรัฐ ที่ออกมาเปิดตัวว่าอยากเป็นตัวเองไปเป็นซูซาน ผลลัพธ์คือ ถูกโหวดให้ออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลว่า มีความไม่แน่นอนในตัวเอง (วิปริต?)

ถ้าเกิดมาแล้วเป็นนางสาวโนเนม ทุกอย่างคงง่ายกว่าที่เป็นอยู่
หรือคุณว่าไง?

Anonymous said...

ขอตีกรอบไว้เฉพาะการเปิดเผยตัวเองกับครอบครัว ก่อนที่จะก้าวไปเชื่อมโยงเรื่องสังคมโดยรวม ซึ่งซับซ้อนยิ่งกว่า และมีตัวแปรเยอะกว่านะครับ
ส่วนตัวผมเองก็ยังไม่บอกพ่อแม่ แม้จะมีโดนแหย่ถามบ้างเรื่องแฟน (ก็ผมอายุยี่สิบกลางๆ แล้วนี่นา)แต่ผมคิดว่าท่านก็คงสงสัยอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ก็แหม ยี่สิบกว่าฝนที่ผ่านมา ไม่เคยมีแฟนสาวซักกะคนเดียว แถมพูดถึงเพื่อนซื้ที่เป็นผู้ชายอยู่คนเดียว จะไม่ให้สงสัยได้ยังไง ก็ผู้ใหญ่น่ะ อาบน้ำมาก่อนจริงๆ
แต่ถ้าจะให้เลือก ผมก็คงรอต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกับคุณ cyui รอจนกว่าจะมีเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอให้พ่อแม่เห็นว่า เราดูแลตัวเองได้ด้วยการเป็นแบบนี้ มีหลักฐานมั่นคงในชีวิต และที่สำคัญคือ ไม่ได้เฉาตายโดยไม่มีใครดูแล อย่างน้อยก็พ่อแม่ผมก็คงจะตายตาหลับ
เหตุผลของผมคงไม่เกี่ยวกับการยอมรับตัวเองแล้วถึงจะกล้ามาบอกกับพ่อแม่หรอกครับ ผมยอมรับตัวเองนานแล้ว (แม้จะไม่ได้เกิดจากการซื้อหนังสืออย่างว่าก็ตาม แต่อย่างเราๆ ก็มีวิธียอมรับตัวเองแตกต่างกันไปใช่ม้า... อิอิอิ) และผมก็คิดว่ายังมีปัจจัยอื่นที่ช่วยให้ผมตัดสินใจจะสารภาพตัวเองกับพ่อแม่ อย่างน้อยถ้าท่าน"ไม่เข้าใจ" ท่านก็"สบายใจ" แค่นี้ก็พอแล้วล่ะครับสำหรับผม

Anonymous said...

ตอบคุณ gree24
"การบอกครอบครัวถึงตัวตนของคุณเอง ไม่ถือว่าเป็นการทำร้ายใครเลยน่ะครับ"
ผมไม่เห็นด้วยคับ เพราะคุณเป็น"ลูกของเขา" การไปบอกว่าคุณเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่ที่เขา"เชื่อและ/หรือคาดหวัง" คุณคิดว่าเขาจะรู้สึกยังไง เชื่อไม๊ว่าอย่างน้อยที่สุด เขาต้องเจ็บปวดเพราะเขารัก+ห่วงอนาคตและชีวิตบั้นปลายของคุณ
และยิ่งรวมกับ"ความไม่เข้าใจ"ที่คุณaเขียน มันทำให้เขาต้องหาจุดยืนให้ได้ว่า"รักแต่ไม่เข้าใจ" มันมีมั๊ยและมันอยู่ตรงไหน?

"อย่าประเมินความสามารถในการรับรู้ของผู้ใหญ่ในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อและแม่ของเราเอง ตามสุภาษิตที่ว่า ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน ท่านอาจจะรู้จักตัวเราเป็นอย่างดีแล้ว เพียงแต่ไม่กล่าวถึงมากกว่าครับ"
อันนี้ผมเห็นด้วยคับ พ่อแม่ผมคงมีเงารางๆของสิ่งนี้ในความคิดท่านอยู่แล้ว แต่เขารู้สึกว่ามันเป็นเงาดำรางๆที่หันไปดูทีไรมันก้หายไป มันหายไปเพราะในความคาดหวังของเขาไม่มีเงาดำนี้อยู่
ลองนึกถึงเวลาคุณสอบ การสอบที่ใครๆก็สอบผ่านแต่คงมีบ้างที่นึกถึงว่าถ้าสอบตกล่ะ แต่มันเป็น"เงาดำ"แว่บเดียวที่นึกอย่างนั้น และคุณไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับมันเพราะหากเกิดขึ้นจริงก็ทำได้ก้มหน้าแต่ยอมรับ
และที่สำคัญคือใครๆก็สอบผ่าน คงไม่ใช่เรา ต้องไม่ใช่เรา

Anonymous said...

ผมคงเป็นอีกคนหนึ่งที่ยังไม่บอกครกบครัวผมในเร็ววันนี้แน่นอน

เพราะอะไรหรือครับ เพราะ "ความคาดหวัง" ของคนในครอบครัวผมมีสูงมากนั่นเอง

ผมเป็นลูกชายคนโตในบรรดาพี่น้องอีก 2 คนที่เป็นชาย 1 และหญิงอีก 1 (ยังเคยคิดเยว่าพ่อ-แม่เรามีลูกครบทุกเพศเลยนะ..อิ.อิ)ครอบครัวผมเป็นชาวจีนที่เคร่งครัดมาก ตอนนี้ผมก็เริ่มถูกซักไซ้เรื่องคู่ครองแล้ว แต่ผมก็มีเหตุผลมาบอกปัดไปได้เรื่อย ๆ

ผมคงไม่บอกพวกท่านในสิ่งที่ผมเป็นหรอก...ผมคงไม่กล้าพอที่จะไปทำลายความคาดหวังของครอบครัวด้วยน้ำมือของผมเอง

Anonymous said...

ประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที่ เท่าที่อ่านจากความคิดเห็นที่ post กันเข้ามา และผมต้องขอโทษคุณ cyui ด้วยสำหรับ comment พาดพิงถึงความเห็นของคุณ โดยขาดการพิจารณาถึงสถาณการณ์โดยรอบ

อย่างไรก็ตามแล้วขอให้ทุกคนพบหนทางที่เหมาะสม และมีความสุขกับมันครับ จะสุขมากหรือน้อย ก็ถือว่ามีความสุขเหมือนๆกันครับ

Anonymous said...

คุณgreen24ไม่ต้องกังวลคับ คุยกันแลกเปลี่ยนมุมมองกันสบายๆ

ผมว่าที่คุณaกล่าวมา เรื่องความไม่เข้าใจ ผมมองว่าเน้นบทบาททางเพศเป็นหลัก
ถ้าเป็นเช่นนั้น ผมมองว่าชาย-หญิงไทยปัจจุบันก็เริ่มรับรู้ รวมถึงมีเพศสัมพันธ์ในแบบที่กว้างขวางหลากหลายขึ้น ไปจนถึงทางทวารหนัก เคยได้อ่านบทความที่มีหญิงชายบางส่วนถึงจุดสุดยอดก็ด้วยวิธีนี้ โดยเฉพาะผู้ชายหลายคนอายที่จะยอมรับว่าชอบให้แฟนใช้นิ้วทางทวารหนักพร้อมๆกับวิธีอื่น ทั้งนี้ผมจึงสรุปว่า การที่คนรุ่นพ่อแม่ไม่เข้าใจเรื่องบทบาททางเพศนั้นเป็น generation gap อาจมีสังคมและวัฒนธรรมมาเกี่ยวด้วย แต่คนละหัวข้อกับความเป็นเกย์
แต่ก็นั่นเอง ในกรณีที่2เรื่องนี้มารวมกันก็แน่นอนว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจแน่ๆ แต่หากทำให้พ่อแม่เห็นขอบเขตว่า เขาก็ไม่เข้าใจเรื่องบนเตียงของชาย-หญิงทั่วไปเช่นกัน เพียงแต่เขาเคารพและยอมรับว่า นั่นเป็นสิทธิส่วนบุคคลหรือลางเนื้อชอบลางยา และที่สำคัญ...”เรื่องในห้องนอนของเค้า อย่ายุ่ง...”
เรื่องความเข้าใจของพ่อแม่ต่อลูกเกย์นั้น เป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นเป็น(ตำรา)คู่มือไปจนถึงกลุ่มสัมนาเพื่อsupportครอบครัวแบบนี้กันเลย เช่น ห้ามการโทษว่าเป็นความผิดของใครที่ลูกเป็นเกย์ หรือสัญญาว่าจะชดเชยให้เพราะเราเป็นเกย์แล้วทำให้พ่อแม่ผิดหวังต่างๆนานา ฯลฯ
สังคมไทยน่าจะกำลังก้าวไปหาจุดนั้นนะคับ พวกเราเป็นเกย์ที่ได้รับโอกาสมากขึ้นแล้ว อย่างน้อยก็มีบอร์ดพี่วิทย์มาให้คุยกันแบบนี้(ที่เขียนไปไม่ X เกินไปใช่ไม๊คับ)

ต้องขอบคุณพี่วิทย์อีกครั้งคับ

Anonymous said...

ว้า ... มาช้า
hot issue เลยนะเนี่ย
ไม่เป็นไร ... มาช้าดีกว่าไม่มาเลยนะครับ

เห็นด้วยกับคุณ Cyui
และ น้องสาวสุดที่รัก คุณสาวอิสานฯ :)

เรื่อง come out ...
แค่ come out กับตัวเองก็พอแล้วละครับ
นอกจากนั้นมันเป็นความเสี่ยง
โดยเฉพาะความคิดที่ว่าพ่อแม่จะยอมรับ แล้วครอบครัวเราก็จะอยู่กันอย่างมีความสุข happily ever after ..
คำถามคือ ถ้าไม่ใช่อย่างทีฝันละครับ ?

ขนาดครอบครัวเราเองที่เรารู้จักมาทั้งชีวิต เรายังไม่ชัวร์เลย
ป่วยการจะไปแนะนำคนอื่น

ชีวิตของเราเป็นของเรา
ความเสี่ยง - เรื่องที่เรารู้สึกว่าเสี่ยง... กับคนที่เรารัก
ถ้าไม่แน่ใจ ให้มัน Idle เฉยๆ ดีกว่าว่ะ
อย่างน้อยก็ไม่เสี่ยง

คำพูดที่ว่า ผู้ใหญ่ อาบน้ำร้อนมาก่อน - ผมว่า แค่ลูกชายอยู่มาเกิน 30กว่าฝนแล้วไม่เคยเหล่สาวเลยนี่
แค่นี้ ท่านก็ get แล้วละครับ
ป่วยการจะไปอธิบายให้แจ่มแจ้งชัดเจน และยอมรับ 100 %

ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีนะครับ
มันดีอยู่แล้วถ้าทำได้ ... แต่ถ้าไม่ได้มันก็คือนรกในบั้นปลายชีวิตของคุณพ่อคุณแม่ของเราเอง
ตราบใดที่เราเองยังไม่มีวาสนาได้เป็นพ่อคน
ผมว่าเราไม่สามารถจำลองทัศนะ/ความรู้สึกต่างๆนานามาได้ครบถ้วนหมดจดหรอกครับ

ถ้าเราเป็นหนังเรื่องนึงที่ฉายให้พ่อแม่ดู ปล่อยให้ท่านสนุกกับหนังเรื่องของเราตามทัศนะของท่านดีกว่าครับ
สคริปต์ของหนังเรื่องนี้ คงไม่ต้องบรรยายทุกอย่างมาเป็นคำพูดทั้งหมดหรอก

ชอบคำของคุณ ezer นะ
ที่ว่า "แค่ยอมรับสิ่งที่เป็นก็ตัวเบาขึ้น 50%แล้ว"
และผมก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

เรื่องที่คุณวิทยาเขียนเล่ามานี้
อ่านแล้วเท่มากครับ ยินดีด้วย (จากใจริง)

big

Vitaya Saeng-Aroon said...

ขอบคุณทุกความเห็นครับ

เวลามีเรื่อง ควรบอกคุณพ่อหรือคุณแม่ ทีไร เราจะได้
วัดความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง มันเหมือนการ
"revisit" เรื่องบางอย่างที่มันยังหาคำตอบที่ลง
ตัวไม่ได้ พี่วิทยาคิดว่า ใครก็ตามที่คิดฟันธงปลงใจว่า
เรื่องนี้คงต้องจบอย่างนี้ แบบนี้แหละ หรือเรื่องแบบนี้
ไม่มีทางเกิดขึ้นกับตัวฉัน ก็ขอให้เปิดโอกาสให้ตัวเองพิจารณา "option" อื่นๆ ด้วยนะครับ แต่ละคนมี
เงื่อนไขชีวิตไม่เหมือนกัน แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า
เราทุกคนอย่างมีอิสระจากทุกพันธนาการ