Monday, July 23, 2007

แล้ววันหนึ่ง...เราจะผ่านจุดนี้ไป

เลิกแอบเสียที วิทยา แสงอรุณ 21-22 ก.ค. 2007
เซคชั่น MetroLife จาก นสพ. ผู้จัดการรายวัน วันเสาร์


ผมรู้จักกับ “รุจน์” เมื่อสองสามปีก่อน เรารู้จักกันผ่านเจ้าหน้าที่ประจำมหาวิทยาลัยท่านหนึ่งที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่นักศึกษา ผมยังจำได้ว่า ตอนพบกันครั้งแรก เขาส่งยิ้มกว้างมาให้ผมราวกับว่า เรารู้จักกันมาก่อนเมื่อนานแสนนานมาแล้ว


หนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง หน้าใสคนนี้เป็นใครกัน? ตอนนั้น ผมแทบจะไม่รู้จักอะไรอื่นเกี่ยวกับเขาเลย เราคุยกันเพียงเล็กน้อย ผมรู้แต่เพียงว่า เขาเป็นนักศึกษาคนหนึ่งที่กำลังค้นหาตัวเอง และจากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่คนนั้น : อยากให้น้องเค้าคุยกับคุณน่ะ เค้ามีปัญหาน่ะ เผื่อคุณช่วยได้...

ดูจากภายนอกแล้ว ตอนที่พบกันในครั้งแรก และอีกครั้งต่อมา ผมมองไม่เห็นสีหน้า แววตา หรือว่ามีสัญญาณใดที่บ่งบอกว่า เขามีปัญหาหรือมีเรื่องทุกข์ใจอะไรเลย เขาดูยิ้มแย้ม มีความสุขดี กระนั้น ผมยังคงรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ผมเลยบอกเขาไปว่า “มีอะไรก็คุยกันได้นะครับ” แต่เราก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีกเลยสองปีกว่าๆ

จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมได้รับอีเมลของเขา บอกว่า มีเรื่องจะปรึกษา และขอเขียนเป็นอีเมล เพราะเขาจะมีสติในการเรียบเรียงเรื่องราวมากกว่าจะพูดให้ฟัง

“…ผมไม่รู้จะเริ่มตรงจุดไหนครับพี่ เพราะมันมีหลายเรื่อง แต่รวมแล้วก็คือเรื่องเดียวกัน ผมขอเขียนไปตามที่นึกได้นะครับ ผมเพิ่งเรียนจบครับ แต่ผมยังไม่ได้ไปทำงานที่ไหนเลย ผมโกหกตัวเองมาตลอดว่า ผมไม่ยี่หระกับเรื่องนี้ แต่จริงๆ แล้วผมก็เครียดมากครับ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า ผมกลัวจะเข้ากับเพื่อนใหม่ในที่ทำงานไม่ได้ ทำให้ปิดโอกาสตัวเองมาตลอด ถูกเรียกสัมภาษณ์ก็ทำให้ตัวเองไม่ได้งานซะงั้น

ผมกลัวเข้ากับคนใหม่ๆ สภาพแวดล้อมใหม่ๆไม่ได้ ส่วนหนึ่งเพราะตอนนี้ผมมีปัญหาบุคลิกภาพมาก ผมกลัวว่า ผมจะแสดงบุคลิกความเป็นเกย์ออกมาครับ ผมก็อยากเลิกนะครับ ผมมีเพื่อนที่ดี และรู้เรื่องนี้ แต่เขาเป็นผู้หญิง และเรียนอยู่ไกลแสนไกล

แม่ไม่เข้าใจผมเลย ผมบอกท่านแล้ว แม่ก็ทำท่าเหมือนกับว่ายอมรับ แต่จริงๆ ในใจลึกๆ ก็ยังอยากให้ผมชอบผู้หญิง และแต่งงานกับผู้หญิง วันไหนเป็นวันร้ายท่านก็จะโผล่มาพูดเรื่องนี้ครับ บอกให้ผมลองดู ถ้าไม่ลองจะรู้ได้ไงว่าชอบหรือไม่ชอบ อะไรทำนองนี้ ที่สำคัญท่านอายที่ผมชอบผู้ชาย ผมเสียใจมาก

ในเมื่อผมเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ ทำไมจะต้องมาบังคับให้ผมเป็นอย่างที่ท่านต้องการด้วย ปากก็บอกว่ารักผม แต่ว่าจริงๆ แล้วจะบังคับให้ผมเป็นในสิ่งที่ท่านอยากให้เป็น ท่านไม่เคยมองเห็นผมเลย ท่านเห็นแต่ลูกชายในอุดมคติที่ไม่มีวันมีจริง คงเป็นความซวยของผม ตอนเด็กๆ ผมสนิทกับท่านที่สุด ท่านตั้งความหวังกับผมมากที่สุด ท่านรักผมมากที่สุด ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น การที่ท่านมาตั้งความหวังกับผมแบบนี้ ทำให้ผมเครียดมาก เหมือนถูกขังไว้ในคุกที่มองไม่เห็น เหมือนถูกเรียกร้องให้มอบสิ่งที่ให้ไม่ได้ เหมือนเป็นความรับผิดชอบใหญ่หลวงที่ผมต้องแบกไว้บนบ่า

ผมกลัวตลอดเวลาว่าจะทำในสิ่งที่ท่านคาดหวังไม่ได้ กลัวว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรหากผมจะใช้ชีวิตในแบบของผมเอง ผมกลัวไปหมดทุกอย่างเลยตอนนี้ เป็นอย่างนี้อยู่หลายทีจนในที่สุดผมก็เลิกสมัครงานครับ

ตอนนี้ที่ผมรู้สึกว่าเป็นปัญหาต่อตัวเองมากที่สุด คือการยอมรับตัวเองครับ ผมยอมรับตัวเองไม่ได้ ผมยังหวังอยู่ลึกๆว่าอยากจะเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง ตอนนี้ผมอ่อนไหวเหลือเกิน ความอ่อนไหวค่อยๆเพิ่มขึ้นๆ จนผมแทบจะใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ถ้าไม่สวมหน้ากากไว้ ผมจะแสดงท่าทีเป็นคนเย็นชา พูด
น้อยๆ ไม่แสดงท่าทางอะไรเลย ทำตัวแข็งๆ ตาขวางๆ หรือไม่ก็ยิ้มๆ ซึ่งทำได้แป๊บเดียว เพราะมันก็ไม่ใช่ตัวผม หลังจากพยายามแอ๊คท่าที่ไม่ใช่ตัวเองแล้ว ผมก็ยิ่งแข็งและตาขวางเข้าไปใหม่ ไม่พูดไม่คุย ก็เพื่อปกปิดความไม่มั่นคงภายในใจที่นับวันมีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นทุกที จนผมแทบจะยืนไม่อยู่อยู่แล้ว…”

คุณผู้อ่านครับ ผมอ่านจดหมายเขาจบแล้ว ผมรู้สึกเย็นสันหลังวาบขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ผมรู้แล้วล่ะครับว่า ผมเคยรู้จักรุจน์ที่ไหนมาก่อน ผมโทรศัพท์นัดหมายเพราะผมอยากจะบอกอะไรเขาต่อหน้ามากกว่าจะตอบอีเมลกลับอย่างที่เขาต้องการ

เขายังคงเป็นเด็กหนุ่มหน้าใสคนเดิม เขายิ้มทักทายผมเหมือนครั้งแรกที่เราเจอกัน พอเราได้นั่งลงคุยกัน และรับฟังเรื่องราวอื่นๆ ที่เขาพรั่งพรูออกมาเหมือนน้ำบ่าที่ไหลหลาก ผมรู้สึกดีใจนะครับที่เขาไว้ใจผม และเล่าเรื่องส่วนตัวต่างๆ ให้ฟังมากมาย แล้วผมก็บอกเขาว่า

“รู้มั๊ย ยิ่งมาฟังเราเล่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นแล้ว พี่อยากจะบอกว่า มันเหมือนพี่เห็นตัวเองอีกครั้งเลย พี่ก็เคยไปยืนอยู่ตรงนั้นมาก่อนนะ”

ผมมองหน้าเขาอย่างพิจารณา ดูเขาสบายใจขึ้นที่รู้ว่า ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน มันเกิดขึ้นกับคนหลายๆ คนมาแล้วที่ต้องผ่านขั้นตอนนี้ของชีวิต เพียงแต่ว่า เราจะยินยอมที่จะเผชิญความจริงของตัวเองหรือไม่ มันอาจเจ็บปวด มันอาจเสียน้ำตา แต่เวลานี้เขายินยอมเปิดใจในที่สุด ไม่เก็บมันไว้คนเดียวอีกแล้ว เขาเปิดโอกาสให้คนอื่นๆ รับรู้เรื่องราวเขา ก็เพื่อที่เขาจะได้ปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการที่รัดรั้งเขาไว้อย่างแน่นหนา

ผมอยากจะบอกคุณผู้อ่านท่านอื่นๆ อีกครั้ง โดยเฉพาะท่านที่ไม่เคยพูด “ความในใจ” ให้ใครได้ฟังเลย และกำลังคิดว่า จะปกปิดมันไปตลอดชีวิต โปรดจงอย่าอยู่คนเดียว โปรดจงอย่าปิดกั้นตัวเอง โปรดหาคนปรึกษา และจงมั่นใจว่า คุณไม่ใช่คนๆ เดียวที่รู้สึกอย่างนั้นในโลกใบนี้ แล้วเราจะผ่านจุดนี้ไปได้ เหมือนที่อีกหลายๆ คน เคยผ่านมาแล้ว

-end-

All rights reserved.

13 comments:

Anonymous said...

รักแม่และปฏิบัติต่อท่านให้ดีที่สุดตราบเท่าที่คุณยังรักตัวเองได้ด้วย เรารักใครไม่ได้หรอกถ้ายังรักตัวเองไม่ลงหรือไม่รู้ว่าเราเป็นใครหรืออะไรกันแน่

ยอมรับและรักตัวเอง
รักแม่

แล้วแม่จะรู้ว่า ลูกที่รักของแม่ รักแม่และทำให้แม่ภูมิใจได้ แม้ว่าเค้าจะเป็นเกย์
และที่สำคัญที่สุด เราแม่ลูกจะรักกันอย่างสมบูรณ์

Anonymous said...

หวัดดีครับพี่วิทย์

บอกตรงๆว่าอ่านแล้วน้ำตาแทบไหลเลย ผมไม่รู้หรอกนะว่าความรู้สึกที่ต้องเก็บกด ปกปิด ปิดบัง ซ่อนเร้น หรือจะเรียกความรู้สึกนั้นว่าอย่างไรก็ตาม ผมเองไม่รู้หรอก แต่อ่านแล้วทำให้ผมรู้ว่า คนที่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้จะอึดอัดขนาดไหน

มันน่ากลัวมากนะครับกับการต่อสู้กันเองภายในจิตใจของคนแค่คนเดียว สู้กับคนอื่นยังรู้แพ้รู้ชนะ รู้ผลลัพธ์ แต่สู้กับตัวเองเราไม่มีวันรู้ได้เลยว่าอะไรจะชนะ แล้วใจเราอยากให้อะไรชนะ ความรู้สึกผิด ชอบ ชั่ว ดี ต่างๆ คงแล่นเข้ามาหามากมายโดยไม่สามารถกำหนด หรือบังคับอะไรได้เลย

ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร แต่อยากบอกว่า อยากเป็นกำลังใจให้คับ อาจเป็นแค่หนึ่งกำลังใจเล็กๆ จากเพื่อนร่วมชะตากรรม (สีม่วง) เหมือนกัน อย่ากลัวกับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นนะครับ เพราะบางครั้งความเป็นจริง ไม่ได้โหดร้าย ไม่ได้น่ากลัวเท่าความคิดของเราหรอกนะครับ เอาชนะความกลัวของตัวเองให้ได้นะครับ

ผมมีคำแนะนำให้จากเรื่องแบบนี้นะครับ (เพราะผมเองก็เป็นคนนึงที่คลั่งไคล้เรื่องแบบนี้) มันเป็นวิธีการสะกดจิตให้เลิกชอบเพศเดียวกัน แต่ว่าในความเป็นจริงจะเป็นไปได้สักขนาดไหน ก็ลองดูละกันนะครับ

http://www.thaihypno.com/hypnosis.php

ตามลิงค์ที่ให้ไว้นะครับ หรือถ้าหากอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ติดต่อผ่านบล็อคพี่วิทย์ได้ครับ

หนึ่งกำลังใจเล็กๆให้คุณ
"คนของความสะใจ"

Anonymous said...

"คนของความสะใจ"แนะนำคงหมายถึงบทความนี้
http://www.thaihypno.com/doc/window.php?topicid=287
ใครจะอ่านต้องอ่านให้หมดนะคับ ส่วนแรกน่ารังเกียจมาก ส่วนหลังช่วยได้เยอะเลย

พี่วิทย์คับรายการวิทยุยังมีอยู่ป่าวคับ? คืนวันเสาร์ฟังตอนตี3 ก็ไม่เห็นมี

Vitaya Saeng-Aroon said...

สะกดจิตให้เลิกเป็นเกย์เหรอ? อืมม์
อยากสัมภาษณ์คนที่ลองแล้วจัง
ใครรู้จัก แนะนำด้วยนะ

Anonymous said...

k'anonymous มีด้วยเหรอคะ สะกดจิตให้เลิกชอบเพศเดียวกัน ไม่เคยได้ยินเลย แล้วจะลองเข้าไปอ่านดูค่ะ

Anonymous said...

เข้าไปอ่านที่คุณ Cyui ทำลิงค์ไว้แล้ว
ขำดี(ว่ะ) 5 5 5

สำหรับบทความคุณวิทยา อ่านจบแล้ว
อยากฝากไปบอกน้องคนนี้ด้วยครับว่า ขอให้-เข้มแข็ง-เข้าไว้
ความอดทน เข้มแข็งเท่านั้นที่ช่วยได้

อย่าประเมินความรักของคุณแม่น้อยเกินไปนะครับ
โอเคครับ ว่าท่านอาจจะมีความคาดหวังในตัวเรา แบบที่ใครๆในสังคมเขาก็เป็นกัน
แต่ขอให้เชื่อไว้อย่างหนึ่งครับ ว่าท่านผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าเรา
เรื่องบางอย่างไม่ต้องอธิบายหรอกครับ ขอแค่ให้เราปฏิบัติต่อท่านในแบบที่ลูกที่ดีพึงปฏิบัติต่อพ่อแม่ .. ก็น่าจะเพียงพอแล้วละครับ

ไม่ต้องไปสะกดจิตตัวเอง หรือไปเอาผู้หญิงโชคร้ายที่ไหนมาช่วยกันสะกดจิตตัวเองรอบสองหรอก(ว่ะ)

กับเรื่องทำนองนี้ ก็เคยรับมือกับมันมาแล้วนะครับ
ผมไม่ได้ซีเรียสกับมันมากมาย เรียนจบ ก็หางานทำ
ได้งาน .. ทำงาน ...แอบหลงรักเพื่อนร่วมงาน(แถมไอ้นั่นเจือกเป็นพวก homophobia อีกต่างหาก)
เสียใจ - เศร้า - ทำใจ - ทำใจได้เมื่อไหร่ก็..ลืม !

ทำงานไปสักพัก เรียนต่อ อ้าว ..เจือกไปชอบเขาข้างเดียวอีกแระ
... พยายามแล้ว ทำอะไรที่ควรต้องทำแล้ว มันก็ไม่ได้อย่างที่คิด

แล้วเรื่องราวมันก็วนกลับมาที่เก่า ...
เหมือนกับชื่อบทความคุณวิทยาในวันนี้เลยทีเดียว
"แล้ววันหนึ่ง...เราจะผ่านจุดนี้ไป "

ผมเคยอ่านสัมภาษณ์พี่คนที่เขาเป็นโปรดิวเซอร์รายการ teentalk/ we're ZA
เขาพูดได้น่าฟัง น่าคิดมากเลยครับ ว่า
บางที เรื่องดีๆบางเรื่องที่เราเห็นว่า มันสามารถเกิดขึ้นกับคนอื่นๆได้ง่ายๆ และน่าจะเกิดขึ้นกับเราบ้าง ..แต่ในที่สุด - มันก็ไม่ได้เกิดขึ้น

อ่านแล้วซึมไปเลยนะครับ
แต่ก็เข้าใจ ว่ามันก็เป็นแค่เรื่องธรรมดาๆเรื่องหนึ่งในชีวิต
แค่นั้นเองครับ
แล้ววันหนึ่ง...เราจะผ่านจุดนี้ไป

big

Anonymous said...

หวัดดีครับพี่ยอด

โทษทีครับไม่ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเลย แต่ก็ยังแว้ปเข้ามาอ่านตลอดครับ

อยากจะบอกว่า เพื่อนพี่คนนี้เขียนจดหมายได้น่าขนลุกมากๆๆๆ ไม่ใช่ว่าน่ากลัวนะครับ แบบรู้สึกว่า (เออ...ตูก็เจอมาคล้ายๆแบบนี้)เหมือนเห็นภาพตัวผมเองกำลังตัดสินใจเลือกหรือที่จะไม่เลือกแอบ

แล้วคิดปรุงแต่งต่อไปว่า หากตูบอกคนอื่นไปแล้วว่าตูเป็นเกย์นะครับ ตูจะโดนเกลียดมั้ย จะยังมีใครอยากคบด้วยมั้ย จะหางานทำได้มั้ย หากพ่อแม่และคนในครอบครัวรู้ ตูจะกลายเป็นคนแปลกหน้าของที่บ้านไปหรือเปล่า พ่อแม่จะเข้าใจมั้ย เขาจะผิดหวังหรือเปล่า หรือถ้าเลือกที่จะแอบต่อไป ตูจะทนความอึดอัดไหวมั้ย หากหัวใจมันเรียกร้องหาเกย์สักคน จะทนให้ตัวเองแสร้งหรือไหวมั้ยที่จะต้องคอยบอกคนอื่นต่อไปว่าตูชอบผู้หญิงนะโว้ย หรือต้องทำตัวเองให้คล้ายๆกับสุญญากาศจนเพื่อนๆสงสัยที่ไม่สามารถระบุว่า จริงๆแล้วเอ็ง...ชอบผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่? หากพ่อแม่ถามเรื่องแต่งงานจะตอบไปยังไง โดนจับคลุมถุงชนจะแก้ไขยังไง

แต่อย่างที่พี่บอก "แล้ววันหนึ่ง...เราจะผ่านจุดนี้ไป" ทุกทางที่เลือกไม่ว่าทางไหน หากเลือกแล้วก็ต้องยอมรับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ผมเป็นกำลังใจให้กับคุณรุจน์ครับ

อย่าให้ใครมาบอกคุณรุจน์เลยครับ ว่าควรบอกหรือไม่ควรบอก เพราะตัวคุณรุจน์เองรู้ตัวดีที่สุด ผมเคยดูรายการหนึ่งทางช่อง 11 ซึ่งตอนนั้นมีการถกเรื่อง เพศสภาพที่จะกำหนดใน รธน. แล้วมี สสร.ท่านหนึ่งอธิบายว่า การที่เกย์ กะเทย ทอม ดี้หรือผู้ที่เพศสภาพต่างๆจะกล้าออกมาพูดต่อสาธารณะชนได้อย่างที่พวกเราเจออยู่นี้

พวกเขาต้องต่อสู้กับกรอบ 3 กรอบด้วยกันอย่างยากลำบาก กรอบแรกคือต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง(การยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น)ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด ถ้าผ่านขั้นตอนนี้ไม่ได้ ขั้นต่อไปก็ผ่านไปไม่ได้

กรอบที่สองคือครอบครัว เป็นด่านที่ต้องใช้พลังความรักมากที่สุด มากกว่าความรักที่เคยไปหลงรักผู้ชายมาทั้งหมด เพราะความรักที่มีต่อครอบครัวจึงทำให้กล้าบอกถึงตัวตนว่าเราเป็นอย่างไร เราชอบหรือไม่ชอบอะไร

กรอบที่สามคือสังคม โดยสสร.ท่านนี้ก็ยังบอกอีกว่า เมื่อเขาผ่านมาได้แล้ว ทำไมยังจะต้องไปปิดทับ กีดกั้น ปิดกั้น ให้เขาต้องกลับไปฝืนความรู้สึกทำในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการอีกหรือ

เริ่มเขียนยาวขึ้น ยาวขั้นเรื่อยๆ พอก่อนดีกว่าครับ

เป็นกำลังใจให้ครับ ^_^

Anonymous said...

ชอบข้อความ 3 กรอบ ที่คุณอิทธิ์อ้างถึงมันใช่และตรงเลย บทสรุปก็ดีมีเหตุผล ย้ำอีกที..ยังบอกอีกกว่า..

...เมื่อเขาผ่านมาได้แล้ว ทำไมยังจะต้องไปปิดทับ กีดกั้น ปิดกั้น ให้เขาต้องกลับไปฝืนความรู้สึกทำในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการอีกหรือ....

อ่านบล็อคคุณอิทธิ์แล้ว อยากบอกเหมือนกันว่า ...แล้ววันหนึ่ง...คุณอิทธิ์จะผ่านจุดนี้ไป เอาใจช่วยครับ


eszr :)

Anonymous said...

ไม่ได้แวะ เข้ามานานเลยค่ะ
ส่วนหนึ่ง คงเพราะเบื่อเรื่องเกย์ค่ะ
ทั้งหนัง ละคร ภาพยนต์ มีแต่เกย์ กะเทย ตุ๊ด ทอมดี้

อ่านแล้ว ก็ กรอกข้อความเข้ามาค่ะ ว่าชอบอ่านเรื่องอะไรบ้างนี้ที่เป็นการให้กำลังคน มากกว่า เรื่อง อินๆ เอ้าท์ๆ

ปล. ซีอุยค่ะ เรามาตั้งสมาคมพลังสะกดกันเถอะค่ะ

อันดับแรก คือ สะกดให้ เกย์ทั้งหลายที่แอบอ่านโดยไม่กรอกข้อความเข้ามาให้กำลังใจ คนเขียน ออกมาเขียนให้กำลังใจกัน

เขาอุตส่าห์เขียนให้อ่านฟรี ๆ ก็ควรให้กำลังใจกันค่ะ

สาวอิสาน อิน แบงกอก นาว

Anonymous said...

เรียนคุณสาวอิสาน
ก็พี่วิทย์เค้าก็เชียร์ให้เลิกแอบอยู่นี่ไง แอบอ่านก็พวกหนึ่ง เด๋วก็เลิกแอบไปเอง แต่จะไปสะกดจิตให้เลิกน่ะ สะกดถูกสะกดผิดยังไง ผู้ถูกสะกดจะเลิกเป็นเกย์ขึ้นมาจะยุ่งกันใหญ่นะคับ ยิ่งเลิกกันง๊าย ง่ายๆๆๆอยู่ด้วย
นึกภาพพวกที่ถูกสะกดจนเลิกเป็นเกย์ เกิดไม่พอใจอยากกลับเป็นเกย์อีก หรืออยากลองเปลี่ยนเป็นดี้รุก เป็นทอมรับ หรือแบบeverything ring my bell ฯลฯ
คุณสาวอิสานจะรับผิดชอบไม่ไหวนา ยิ่งอยู่กทม.ใกล้ๆแค่นี้ด้วยซิ

Wardimi De Mai said...

ขอโทษที่แอบอ่านมานานครับ
เมื่อก่อนผมก็ชื่อสาวอีสานรอรักเหมือนกันนะครับ

ผมก็อยากให้ใครสักคนสะกดจิตให้เลิกชอบผู้ชายคนอื่นๆเหมือนกันนะครับ เบื่อแล้วครับที่ต้องรอว่าเมื่อไรจะเป็นอย่างคนอื่นๆบ้าง เบื่อแล้วที่ต้องอยู่คนเดียว และเบื่อแล้วที่ต้องไปชอบแต่แฟนคนอื่น ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีใครมารู้สึกกับเราอย่างนั้นบ้าง
ผมก็เป็นคนหนึ่งนะครับที่รอว่าแล้ววันหนึ่งวันนั้น...จะมาถึง แล้วเราจะผ่านอไรๆนี้ไปได้
เป็นกำลังใจให้คุณรุจน์และคนอื่นๆด้วยนะครับ
และขอขอบคุณ คุณวิทยา ด้วยนะครับที่มีอะไรดีๆให้ติดตาม

Anonymous said...

คุณ "บิ๊ก"

ไอ้การสะกดจิต หรือวิธีการอย่างไรก็แล้วแต่นะครับ มันขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของจิตใจของคน คนบางคนทำได้ คนบางคนทำไม่ได้ และทำได้ไม่เท่ากัน คุณจะมาหัวเราะวิธีการใดๆ นั้น ผมคิดว่าคงไม่เหมาะสม (ถ้าหากว่าคุณยังเคารพความคิดและสิทธิส่วนบุคคล) ที่ผมต้องออกตัว เพราะว่าผมเป็นคนหา link ให้เค้าเอง เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว เค้าคงไม่เอา link มาโพสต์ต่อให้คุณได้อ่านแล้วหัวเราะเค้าแบบนี้

ผมเชื่อและเคารพในความคิดของคุณ ว่าคุณเองคงมีวิธี การที่ดีและทางออกที่ดีให้กับตัวเอง แต่หลายๆคนไม่มี การสะกดจิต เป็นแค่ทางหนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งมันจะสำเร็จหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ไม่เคยมีใครบอกได้

Anonymous said...

เรียนคุณไม่เปิดเผยนาม รีก่อนหน้านี้
คุณบิ๊กเค้าหัวเราะเหมือนคนอื่นๆล่ะคับ ผมก็เช่นกัน อย่าsensitiveเกินเหตุไปครับ ถ้ามีหลักฐานทางวิชาการหรือทางสถิติใดๆก็ลองโพสเพิ่มเติมมา ถือเป็นวิทยาทานแก่กัน แต่คงยากที่ห้ามไม่ให้คนอื่นแสดงความคิดเห็นบนบอร์ดโดยเฉพาะบอร์ดเช่นนี้
ยินดีด้วยครับถ้ามีคนสมหวังด้วยวิธีนี้