Sunday, June 3, 2007

รวยแล้ว ดังแล้ว ใยยังแอบอยู่?


เลิกแอบเสียที วิทยา แสงอรุณ 2-3 มิถุนายน 2007 เซคชั่น MetroLife จาก นสพ. ผู้จัดการรายวัน วันเสาร์

ไปเดินแผงหนังสือวันก่อน เพิ่งเห็นหนังสือออกใหม่ของ “ดัง พันกร” รูปเล่มสวยงาม ขนาดหนังสือน่าสนใจ มีภาพสีสวยๆ อยู่ข้างใน ชื่อเรื่องสะดุดตาเป็นพิเศษ “Under My Skin” พร้อมหน้าปกเป็นแผ่นหลังของดัง

น่าจะเป็นหนังสือที่รวบรวมความเป็น “ดัง” ในทุกๆ เรื่อง แต่ลองพลิกดูแล้ว ไม่พบเนื้อหาอะไรที่พูดเกี่ยวกับตัวจริงของดังออกมาดังๆ

ผมวางหนังสือลง ก็ได้แต่คิดว่า เมื่อไหร่นะ คนเก่งๆ อย่างเขา คนมีครอบครัวอบอุ่นอย่างเขาจะได้พูดเกี่ยวกับตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เป็นตัวของตัวเอง และมีความสุขอย่างแท้จริงซะที-ในทุกๆ เรื่อง ทุกๆ สถานการณ์?

คงต้องรออ่าน Under My ‘Real’ Skin หรือคงไม่มีวันได้อ่านเลย?

สักสองปีก่อนเห็นจะได้ คอลัมน์นี้เขียนเกี่ยวกับ “พี่เบิร์ด ธงไชย”

ตอนนั้นคอลัมน์ “เลิกแอบเสียที” ยังได้รับการอัพเดทอยู่เป็นประจำบนเว็บของผู้จัดการ จนมีการจัดการแบบใหม่ คอลัมน์นี้และคอลัมน์อื่นๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ท้ายคอลัมน์บนเว็บจะมีพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็นกัน

เรียกได้ว่าโพสต์กันมาล้นหลาม ขอบคุณทุกกระแสเสียงนะครับ บ้างก็ประณามผู้เขียนว่า ทำไมมาเขียนว่าพี่เบิร์ดเป็นเกย์? เอาเรื่องนี้มาพูดทำไม ทำไมไป ‘ทำร้าย’ พี่เบิร์ดเค้า? สารพัดความเห็นด้วยเหตุผลต่างๆ กันไป แต่ความจริง ถ้าใครได้ไปอ่านอีกครั้ง ในบทความนั้น ผมไม่ได้เขียนซักคำว่า พี่เบิร์ดเป็นเกย์

แล้วทำไมผู้อ่านส่วนใหญ่เข้าใจกันล่ะว่า พี่เบิร์ดเป็นเกย์?

ช้าก่อนนะครับแฟนๆ พี่เบิร์ด ทั้งที่เป็นชายหญิงทั่วไป และบรรดามนุษย์สีรุ้งที่ยังต้องแอบอยู่ อย่าเพิ่งโกรธเกรี้ยวเมื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้ที่หยิบยกเรื่องนี้มาพูดอีก พอดีถึงเดือนมิถุนายนแล้ว เดือนแห่งความภาคภูมิใจและเกย์พาเหรดจะกระหึ่มขึ้นทั่วโลก

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากบทความนั้นเป็นภาพสะท้อนอย่างดีของสังคมหลายๆ สังคม และอคติที่กัดกินหลายๆ ชีวิตโดยที่คุณๆ ไม่เคยคิดมาก่อน

ตอนนั้นผมยังไม่มีคำศัพท์คำนี้ในสมอง “Glass Closet” ผมเลยไม่รู้จะเรียกกรณีพี่เบิร์ด ธงไชยว่ายังไง

ศัพท์คำนี้ ยังไม่มีคำไทยที่เหมาะๆ นะครับ อธิบายแบบนี้ละกัน คำว่า Glass ก็คือแก้ว หรือกระจกใสมองผ่านทะลุเข้าไปข้างในได้ ใช้ปกป้องอะไรบางอย่างข้างในได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับความหนา ความหนาในที่นี้ ผมหมายถึงความหนาของวัสดุที่ใช้ แต่ถ้าคุณๆ คิดถึงความหนาของใครที่อยู่ข้างในก็สุดแล้วแต่

ส่วนคำว่า Closet คงรู้จักกันดีแล้ว ฝรั่งจะมี Closet หรือตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ คนไทยบางบ้านก็มีเช่นกัน อย่างเวลาเราจะหนีอะไร หนีใคร หรืออยากไปหลบซ่อนตัวด้วยความกลัว เขาก็เปรียบว่า เข้าไปหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้า (in the closet)

ดังนั้น คนที่ไม่กลัวอะไรแล้ว เขาจะเรียกว่า Come out of the Closet แต่พูดอย่างนี้ ชาวบ้านร้านตลาดจะไม่เข้าใจกัน

ผมเลยใช้คำว่า “เลิกแอบ” ซึ่งมีความต่างจากคำว่า “เปิดเผยตัว” ที่เราใช้กันมานานแล้วนะครับ ผมคิดว่า คำว่า เลิกแอบน่าจะเหมาะกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคำว่า “เปิดเผย”

คำว่า เปิดเผย สำหรับผม จะใช้ในสถานการณ์ที่เรามีอะไรไม่ดีอยู่แล้ว พอถึงเวลา ก็ต้องมาเปิดเผย หรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องทำอะไรบางอย่างโดยไม่ได้เต็มใจ ฟังคล้าย ถูกเปิดโปง ซึ่งให้ความรู้สึกที่ไม่ดี

แต่คำว่า เลิกแอบ เรา “เลิก” อะไรบางอย่าง ซึ่งเหมือนกับที่เราใช้ว่า “เลิกเหล้า เลิกบุหรี่” เราต้องตั้งใจก่อนถึงจะเลิกได้ เป็นความยินยอมพร้อมใจของผู้นั้นเป็นหลัก เพราะฉะนั้นในที่นี้ “การแอบ” ก็คือ ตัวเหล้าและบุหรี่นั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งไม่ดี มีพิษต่อร่างกาย มันกัดกร่อนตัวเรา เราก็น่าจะเลิกไปซะ หรือ “quit” มันซะ

กลับมาที่กรณี “Glass Closet” นะครับ

จากบทความนั้น ผมพบว่า การไม่ยอมรับความจริง แต่ยอมรับเอาความเชื่อผิดๆ ในสังคมที่สมาชิกในสังคมหลงทางมาตลอด หรือถูกตอกย้ำให้เชื่อกันไปว่า การเป็นเกย์เป็นสิ่งที่เสียหาย ไม่ควรเปิดเผย และไม่ควรพูดถึง มันก็คือผลลัพธ์ที่แท้จริงของบทความเกี่ยวกับพี่เบิร์ดตรงนั้น ไม่ใช่เรื่องอื่นใดเลย

ขอยกตัวอย่างนิดหนึ่งครับ การที่ใครคนหนึ่งเป็น “Role Model” หรือเป็นแบบอย่างของใครอีกหลายคน แต่ไม่เคยแสดงความภาคภูมิใจกับความจริงของตัวเองเลย มันมีความหมายว่ายังไงหากเราลองมองในมุมกลับ?

ถ้าคนเราไม่รู้สึกภาคภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็น ไม่เคยพูดถึงมัน ไม่ยอมรับมันอย่างซื่อสัตย์ เปิดเผยตรงไปตรงมา หลบเลี่ยงที่จะพูดถึงมัน หรือกระทั่งสร้างภาพให้คนเข้าใจไปอีกทางหนึ่ง ก็ไม่น่าจะเรียกสิ่งนั้นว่าเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจใช่ไหมครับ?

มันคืออาชญากรรมที่เราทำไว้นี่เอง เหมือนกับว่า เราได้ไปปล้น ฆ่า หรือกระทำความผิดอุกฉกรรจ์มา แล้วต้องปกปิดไว้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราพูดถึงไม่ได้ สิ่งที่เราบอกใครออกไปไม่ได้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับเรื่องน่าอับอาย หรือเรื่องลบๆ ที่ไม่สมควรให้ใครๆ ได้รับรู้ แล้วยินดีกับมัน

สิ่งนี้เองที่ทำให้ “การเลิกแอบ” เป็นเรื่องท้าทายสำหรับหลายๆ คน

เรากำลังท้าทายว่า สักวันหนึ่ง ตัวเราเองจะทลายกำแพงแห่งอคตินั้นได้หรือไม่ แล้วเราจะยืนอยู่ และยืนหยัดอยู่ในสังคมนี้ต่อไปได้หรือไม่ การที่ใครคนหนึ่งพร้อมแล้วทั้งฐานะ และชื่อเสียง แต่กลับก็เลือกที่จะศิโรราบให้กับความหลงผิดและความเข้าใจผิดที่ถูกสร้างขึ้นเช่นนั้น มันส่งผลให้คนอื่นๆ เข้าใจไปว่าอย่างไร?

การไม่ยอมรับและปฏิเสธที่จะพูดถึงมัน ไม่ต่างอะไรกับการข่วยออกแรงก่อสร้างกำแพงแห่งอคตินั้นต่อไป ให้คนรุ่นหลังต้องป่ายปีน ผมเชื่ออย่างนั้น เรื่องนี้ยังไม่จบ

สัปดาห์หน้าจะมาเล่าเรื่อง Glass Closet ต่อนะครับ เพื่อให้พิจารณาเรื่องนี้กันอย่างเข้มข้น แล้วเราจะมาติดตามพฤติกรรมของเหล่าคนดังที่เพิ่งเป็นข่าวไป อย่างคุณ Anderson Cooper ผู้ประกาศข่าวสุดหล่อแห่ง CNN และคุณ Jody Foster นักแสดง และผู้กำกับขวัญใจของหลายๆ คน

-end-

All rights reserved.

12 comments:

Anonymous said...

สวัสดีครับพี่ยอด

ผมอ่านแล้วสงสัยว่าพี่ยอดไปรู้จักตัวจริงของดัง พันกร ตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะครับ แล้วยิ่้งสงสัยขึ้นไปอีกว่าเขาแอบอะไรไว้กันแน่จนไม่กล้าเลิก อะฮ่าอะฮ่า มันยังคงปริศนาต่อไป เหมือนกับที่ทำไมพี่เบิร์ดมาอยู่ในคอลัมน์เลิกแอบเสียที แล้วพี่เบิร์ดแอบอะไรไว้เมื่อสองปีก่อน น่าลุ้นจริงๆ

ผมจะรออ่านของอาทิตย์หน้านะครับ

Anonymous said...

มีบทความใดที่พี่ยอดจะแนะนำให้ไปอ่านก่อนถึงอาทิตย์หน้าไม๊คับ เช่นในwebต่างประเทศ ฯลฯ เพราะGlass closetเป็นคำที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่น่าสนใจมาก และกำลังคิดไปเองต่างๆนานา

รายการวิทยุเลื่อนเวลาเป็น24.00-02.00แล้วหรือคับ เมื่อวันเสาร์รอฟังในเวลาเดิม เจอแต่รายการเพลง โทรเข้าไป เขาบอกว่าย้ายเวลาไปแล้ว เสียดายจัง นี่เป็นกรณี"เกย์ขาดพื้นที่ในสังคม"รึป่าวคับ หรือว่าผู้จัดขอเปลี่ยนเวลาเอง
มีโอกาสไม๊คับที่จะส่งไฟล์มาให้ผู้ที่ขอ(อย่างผม)ได้ฟัง ผมกำลังพยายามหาเทคนิคตั้งอัดเสียงรายการไว้ฟังเพราะเวลานั้นหลับไปแล้วจิงๆ
ผมจริงจังนะคับ ยังไงก็จะพยายามหาทางฟังให้ได้เลย

Anonymous said...

ผมเคยอ่านเจอคำว่า Glass Closet มาก่อนจาก Out Magazine.Com คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็น column ที่กล่าวถึง Celeb หลายๆคนใน อเมริกาที่ไม่ come out เต็มตัว(รวมถึง Andersson Coopers & Jody Foster) แต่จะมีกลุ่มคนที่รู้กันอยู่ว่าจริงๆแล้วเขาเหล่านั้นเป็นอะไรกันแน่ เนื้อความหลักกล่าวถึงเหตุผลทางด้านธุรกิจเป็นส่วนใหญ่

เข้าใจว่า น้องดัง และพี่เบิร์ด คงอยู่ในกรณีดังกล่าวด้วย

Anonymous said...

บางทีเจ้าตัวอาจจะไม่ได้อยากสร้าง "Glass" ขึ้นมา
แต่มีคนเอาไปครอบไว้ก็ได้นะครับ ในที่นี้อาจจะเป็นค่ายเพลง ดังอาจจะติดสัญญาอะไรสักอย่าง
จริงๆดังอาจจะอยากเป็นอย่างป้า Elton John หรือ George Michael แต่ถามว่าสังคมเมืองไทยยอมรับอย่างแท้จริงหรือยัง หรือยังอยู่ใน Glass Closet เหมือนกัน (ยังเลือกที่จะเชื่อว่าพี่เบิร์ดไม่ใช่เกย์ หรือต่อต้านใครที่ว่าพี่เบิร์ดเป็นเกย์ หรือจริงๆแล้วอาจจะกลัวที่ยอมรับความเป็นจริงว่าพวกเค้า "นิยมชมชอบเกย์")
จำดังชุดแรกได้มั้ยครับ RS เค้าสร้างภาพดังไว้อย่างไรแรกๆผมยังเชื่อเลย

Anonymous said...

"สาวแล้ว สวยแล้ว" ใยยังแอบอยู่?

คุณวิทยาตั้งชื่อ บทความผิดนะคะ
สาวอิสานเข้ามาแก้ไขให้ถูกต้องค่ะ (อิอิอิ สามอิ)

ปล.(ไปแล้วจะกลับมาใหม่)
ทำงานก่อนนะคะ แล้วจะเข้ามาม้นต์ใหม่ค่ะ

Anonymous said...

don't u think there is a balance of image and desire?

dek noi

Unknown said...

ในเว็บผู้จัดการออนไลน์ในส่วนของเมโทรไลฟ์ ไม่เห็นมีคอลัมน์"เลิกแอบเสียที"ของพี่วิทยาเลย เห็นล่าสุดมีอยู่แค่ปี 2548 ถ้าอย่างไรช่วยตรวจสอบและแจ้งกลับผมด้วยครับ

Anonymous said...

ดูก่อนสาธุชนชาวเกย์!(ใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์หนึ่งครั้งเพื่อให้ฟังดูน่าอัศจรรย์ใจอยู่ร่ำไป)

ฉันได้สดับ สัจจะวจี อันอุโฆษ เรื่อยมาแต่ครั้งพุทธกาลว่า "อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาบอกต่อๆกันมา" "อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นศาสดา" "อย่าเชือเพียงเพราะรูปกาลมันทำให้น่าเชื่อ" "อย่าเชื่อเพราะเห็นว่าเป็นอาจารย์"

อันนี้ก็เช่นเดียวกัน สาธุชนชาวเเกย์ !!! (คราวนี้ใส่อัศเจรีย์ สามครั้งเลย เพื่อให้ฟังดูน่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่า) พึงใช้สติพิจารณา
อย่าเชื่อว่าเขาเป็นเกย์เพียงเพราะเขาแต่งตัวคล้ายผู้หญิง (วง X เจแปนที่แตกวงไปแล้วเรียบร้อย)
อย่าเชื่อว่าเขาเป็นเกย์เพราะเขาโฆษณาว่าเขาเป็นเกย์
อยาเชื่อว่าเขาเป็นเกย์เพราะเขาเกิดขึ้นมาในดงเกย์ (ขอให้รักจงเจริญ)
อย่าเชื่อว่าเขาเป็นเกย์เพราะเขาแต่งหน้าทำผม (ตะโกนออกมาดังๆ)
อย่าเชื่อว่าเขาเป็นเกย์เพราะเขาได้รับบทบาทการแสดงเป็นกะเทยทำอาหาร (อาจาย์สอนทำอาหาร ยิ่ง... เติมเอาเองนะ)

สาธุชนชายเกย์!!! พึงใช้สติและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกตามอัตภาพ

สาวอิสานรอรัก
(ดิฉันวันนี้ดูเป็นการเป็นงานนะคะ)

Anonymous said...

ไม่ว่าเขา/เธอ จะเป็น role model หรือไม่

ผมว่าบางอย่างที่เป็นเรื่องส่วนบุคคล เราควรเคารพสิทธิตรงนั้น รวมทั้งในการตัดสินใจที่จะเปิดเผย/ไม่เปิดเผยนะครับ

---- ถ้าคนเราไม่รู้สึกภาคภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็น ไม่เคยพูดถึงมัน ไม่ยอมรับมันอย่างซื่อสัตย์ เปิดเผยตรงไปตรงมา หลบเลี่ยงที่จะพูดถึงมัน หรือกระทั่งสร้างภาพให้คนเข้าใจไปอีกทางหนึ่ง ก็ไม่น่าจะเรียกสิ่งนั้นว่าเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจใช่ไหมครับ?

มันคืออาชญากรรมที่เราทำไว้นี่เอง เหมือนกับว่า เราได้ไปปล้น ฆ่า หรือกระทำความผิดอุกฉกรรจ์มา แล้วต้องปกปิดไว้ -----

คำว่า"อาชญากรรม"แรงไปไหมครับ ?
เรื่องส่วนตัวของเขาแท้ๆ

big

Anonymous said...

พี่ยอด หายไปไหน ค๊าบ

Anonymous said...

ช่าย...

จะลงแดงตายอยู่แล้ว พี่ยอดค้าบ...

Vitaya Saeng-Aroon said...

คงต้องรอดัง ให้ไม่ดังเสียก่อน เราถึงจะรู้ว่า ดังเค้า
อยากเป็นตัวเองขนาดไหน ใครไม่เป็นดัง คงไม่รู้
จริงๆ หรอก แต่ที่เขียนไป ถ้าผิด...มาเหยียบหน้า
ได้เลย (ไม่ได้เลียนแบบคำพูดดาราชายชื่อเล่น
ว่า อ. ชื่อจริงก้อ อ. นะ)

คือ ถ้าเป็นเกย์แล้ว ไม่อยากบอก ก้ออย่าสร้างภาพ
การสร้างภาพ คือการโกหกสาธารณชน เป็นนิสัยไม่ดี
และต่อๆ ไป คนก็จะบอกว่า พวกเกย์ ชอบสร้างภาพ

รายการวิทยุ อยู่วันเสาร์ครับ เริ่มเที่ยงคืน ถึงตีสอง
สงสารคนฟังเหมือนกันครับ ต้องนอนดึกๆ คนจัด
สบาย ไม่ได้นอนดึก ถ้ามี achive ขึ้นแล้วจะแจ้ง
นะครับ ขอบคุณครับที่จริงจัง

ครับคำว่าอาชญากรรมฟังดูแรงครับ กระตุ้นให้เรา
คิดกันไปครับ คนเราบางทีก็ต้องมีการกระตุ้นน่ะครับ
บางเรื่อง เราลืมไป บางเรื่องต้องเอามาถกเถียงกัน
แต่เราไม่ได้ถกเถียงกันเอาเป็นเอาตาย แต่ให้มัน
ได้รับการกระตุ้นน่ะครับ

ในเว็บผจก. เค้าเปลี่ยนแปลงกันบ่อย ไม่ได้
อัพเดทให้ประจำ เคยคุยกับผู้ใหญ่ เค้าก็บอกว่า
คงต้องรอ แต่เราก็ไม่ได้รอแล้ว อัพเดทเองนี่แหละ
ครับ มีข้อดี ข้อเสีย ข้อดีก็คือ พวก anti-gay
ไม่เข้ามาอ่านในนี้แน่ ข้อเสียคือ คนทั่วไปคิดว่า
เลิกเขียนคอลัมน์นี้ไปแล้ว

สาวอิสาน...ชื่อใหม่ สาวแล้ว สวยแล้ว
...เก๋ไก๋ดีเลยแหละ ไว้ใช้ต่อไปแล้วกัน

อาทิตย์นี้มาอัพเดทช้าไปหนึ่งวัน ขออภัยครับ...