Monday, June 11, 2007

The Glass Closet


เลิกแอบเสียที วิทยา แสงอรุณ 9-10 มิถุนายน 2007 เซคชั่น MetroLife จาก นสพ. ผู้จัดการรายวัน วันเสาร์

ศัพท์คำนี้ยังไม่ได้รับการบรรจุไว้ในพจนานุกรมฉบับออกใหม่ที่เป็นข่าวนะครับ แต่มีอยู่คำหนึ่ง คือคำว่า “กิ๊บเก๋-ยูเรก้า” (ดีเลิศ ประเสริฐยิ่ง) ซึ่งทางราชบัณฑิตนึกถึงและจะนำไปบรรจุไว้ ชาวสีรุ้งน่าจะภาคภูมิใจนะครับ

ไม่พบแหล่งที่มาที่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้บัญญัติคำว่า “Glass Closet”

ในวงการฯ ใช้เรียกบุคคลที่เป็นเกย์ หรือเลสเบี้ยนที่ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธว่าตัวเองเป็นเกย์/เลสเบี้ยน เรียกได้ว่า คนกลุ่มนี้คือบุคคลที่อยู่ตรงกลางระหว่าง “กลุ่มเลิกแอบแล้ว” กับ “กลุ่มแอบสนิท”

ผมไม่แน่ใจว่าจะตรงกับคำ “สลัวจิต” ที่อาจารย์เสรีเคยเสนอไว้หรือเปล่า ซึ่งคำนี้หมายถึงเกย์/เลสเบี้ยนที่ไม่ได้ “สว่างจิต” และไม่ได้ “แอบจิต” แล้ว

คำหลังนี้น่าจะเป็นที่มาของคำว่า “อีแอบ” ซึ่งหลายๆ คนที่ยังไม่ได้เลิกแอบรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจเพราะฟังดูเหมือนถูกดูแคลน เหมือนถูกเหยียบย่ำ

งั้นก็...เลิกแอบซะดีมั๊ย?

คนที่อยู่ใน “Glass Closet” มีพฤติกรรมที่พบได้บ่อยๆ คือ จะไม่พูดถึงความเป็นเกย์หรือเลสเบี้ยน จะไม่ออกหน้า หรือเสนอตัวสนับสนุนหรือคัดค้านอะไร พวกเขาเลือกที่จะหลีกเลี่ยงเวลามีประเด็นเรื่องเกย์และเลสเบี้ยนขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรทั้งสิ้นเพราะไม่อยากให้ใครสงสัยว่า ตัวเองเป็นเกย์/เลสเบี้ยน ไม่อยากจะยุ่ง

แต่ถ้าจวนตัวต้องออกความเห็น ก็จะพูดคลุมเครือ ปล่อยให้ผู้ฟังตีความสามตลบ และมักจะเลือกออกความเห็นกลางๆ ชนิดที่ว่า ขอปลอดภัยไว้ก่อน

เราๆ ท่านๆ มักจะได้ยินบ่อยๆ เวลานักข่าวถามนักร้องหรือดาราหนุ่มหล่อว่า “ทำไมยังไม่มีแฟน?” หรือ “ไม่เห็นควงใครเลย?” ซึ่งเป็นกรณีคล้ายๆ กัน

ดารา นักร้องหนุ่มหล่อที่ตกเป็นข่าวว่า ควงนักแสดงจากอีกค่ายหรือเดินอยู่กับหนุ่มหล่ออยู่บ่อยๆ หรือยิ่งไปกว่านั้น เข้าโรงแรมกันมาแล้ว ก็มักจะตอบว่า “ตอนนี้มุ่งทำงาน ไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ ทำงานเก็บเงิน ฯลฯ” ซึ่งก็ไม่น่าเสียหายอะไร เพราะตอบแบบกลางๆ จากนั้นก็มักจะชักชวนคุยประเด็นอื่นๆ

พวกเขาไม่ได้ผิดนะครับที่เป็นเกย์หรือเลสเบี้ยน แต่พวกเขาก็ต้องเตรียมตัวไว้เหมือนกันว่า เป็นคนดัง แล้วก็มักจะถูกตั้งคำถามแบบนี้อยู่บ่อยๆ ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถ้าเป็นพวกเราทั่วไปที่ไม่ได้เป็นคนเด่นคนดัง หรือคนมีชื่อเสียงในสังคม และยังต้องแอบอยู่ คนที่ถามก็น่าจะสังเกตได้ว่า คนตอบรู้สึกอึดอัด และถ้ารู้จักมารยาทที่ดี ก็ไม่ควรถามต่อไป เพราะทำให้อีกฝ่ายอึดอัด เขาคงยังไม่พร้อม

แต่ผมเอง รู้สึกคันและอยากค้นหาความจริงซะทุกทีเลยเวลา พบเห็น “การสร้างภาพ”

ยิ่งได้ยินดารา นักร้องหรือคนดังที่เป็นข่าวพูดจาท้าทายผู้ถามด้วยอาการ “มาดแมน” หรือท้าให้พิสูจน์ เช่น “มาเหยียบหน้าผมได้เลย” ดังที่นักแสดงหน้าใสท่านหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์ไว้ รู้สึกอยากรู้ขึ้นไปอีก

ฟังดู เขาพูดจาหนักแน่นดีนะครับ แต่ก็เลื่อนลอย ไม่ตอบคำถามเหมือนเดิม แต่ออกหนังสือลงภาพตัวเองเซ็กซี่เหลือกเกิน ไม่รู้จะขายผู้อ่านกลุ่มไหน?

ในอเมริกา คนที่อยู่ใน Glass Closet สองท่านที่ตกเป็นข่าวไปเมื่อเดือนที่แล้วคือ คุณ Anderson Cooper ผู้จัดรายการและผู้ประกาศสุดหล่อผมสีดอกเลาจากค่ายยักษ์ใหญ่ซีเอ็นเอ็น และคุณโจดี้ ฟอสเตอร์ คงไม่ต้องแนะนำ เธอคือนักแสดง-ผู้กำกับฝีมือเยี่ยม

สองท่านนี้มีพฤติกรรมที่นำมาอธิบายคำว่า Glass Closet ได้ดีทีเดียว หลังจากที่คุณ Michael Musto คอลัมนิสต์อารมณ์ดีแห่งนสพ. แจกฟรีที่มีชื่อเสียงของนิวยอร์ค (The Village Voice) เขียนไว้ในนิตยสาร Out ฉบับเดือนพฤษภาจนครึกโครมวงการนักร้องนักแสดงที่นั่น ผมขอหยิบยกบางตอนมาเล่าให้ฟังนะครับ

จริๆง แล้วเป็นที่ซุบซิบกันมานานสักสองปีแล้วว่า คุณแอนเดอร์สันเป็นเกย์ มีคนเห็นเขาไปบาร์เกย์ คลับเกย์ รีสอร์ทเกย์ ชอบส่งตาหวานให้หนุ่มๆ โดยเฉพาะหนุ่มละตินที่อายุน้อยกว่า แต่ก็น่าแปลก ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเรื่องนี้ในวงการสื่อมวลชนเท่าไหร่ มันกลายเป็นเรื่องแบบว่า “ก็รู้ๆ กันอยู่น่ะ” ซึ่งคุณแอนเดอร์สัน ก็ไม่เคยปฏิเสธตรงๆ หรือยอมรับอย่างยืดอกว่า ตนเป็นเกย์

เคยมีรายการทีวีสัมภาษณ์เขาหนหนึ่ง เขาโดนถามตรงๆ ว่า เขาเป็นเกย์หรือเปล่า คำตอบของ “The Silver Fox” แห่งค่ายซีเอ็นเอ็นก็คือ ผมไม่พูดเรื่องส่วนตัว ณ ที่นี้ คุณแอนเดอร์สัน เขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตตัวเองออกมาเล่มหนึ่งด้วยนะครับ ถึงแม้จะไม่มีภาพเซ็กซี่ใดๆ แต่ก็ไม่พูดถึงว่า เขากำลังมีความรักอยู่กับใคร

ส่วนคุณโจดี้ ฟอสเตอร์ก็คล้ายๆ กัน เป็นที่รู้กันว่า คุณโจดี้มีลูก แต่ไม่มีใครรู้ว่า ใครเป็นพ่อเด็ก เป็นที่รู้กันว่า เธอใช้ชีวิตคู่อยู่กับผู้หญิงอีกคน แต่ก็เธอผู้นั้นก็ไม่เคยได้รับการประกาศว่า เป็นคู่ชีวิตกันกับเธอ ขณะที่เธอไม่ปฏิเสธบทเข้มแข็ง มีความเป็นผู้นำสูง และบทท้าทายที่น่าจะเป็นผู้ชายเล่นมากกว่า เธอก็ปฏิเสธที่จะรับเล่นในหนังเกี่ยวกับหญิงรักหญิง

โดยภาพรวม คุณผู้อ่านที่เป็นเกย์/เลสเบี้ยนอาจจจะบอกว่า ก็เป็นสิทธิ์ส่วนตัวของพวกเขานะที่จะยอมรับ หรือปฏิเสธ ซึ่งความเห็นแบบนี้ ปกติ ผมมักจะได้รับมาจากคนที่ยังต้องอึดอัดเพราะยังแอบอยู่ทั้งนั้น เพราะพวกเขารู้สึกเห็นใจและเข้าใจดีว่า มันยากลำบากแค่ไหนที่จะพูดความจริงกับคนอื่นๆ

แต่สำหรับเพื่อนๆ หรือคนที่ผมรู้จักที่ “เลิกแอบ” แล้ว เขาจะไม่รู้สึกอย่างนั้น หรือคิดอย่างนั้นอีกต่อไป มันเหมือนอยู่คนละโลกเวลาเราสื่อสารกันเรื่องนี้ คนกลุ่มนี้จะเริ่มรู้สึก “รำคาญ” กลุ่ม “Glass Closet” มากขึ้นเรื่อยๆ และจะมองเกย์/เลสเบี้ยนใน Glass Closet ว่า เป็นพวกทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่สง่าผ่าเผย หน้าไว้หลังหลอก และไม่จริงใจ (หลายกระทงทีเดียว)

ผมคิดว่า คนที่อยู่ Glass Closet ยิ่งเป็นคนที่ดังแล้ว-รวยแล้ว ยิ่งต้องมีจิตสำนึกถึงสังคมส่วนรวมในการพูดความจริง เพราะการพูดความจริง และยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็นจะช่วยแก้ไขความเข้าใจผิด ขจัดอคติในสังคมที่ไม่ดีต่อบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศได้อย่างดีที่สุด

ทำไมเป็นอย่างนั้น? เพราะสังคมนิยมผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน และมีความคิดที่ดี คนดัง คนรวย เหล่านี้แหละ คือผู้มีพลังอำนาจในการผลักดันและเปลี่ยนแปลงอคติในสังคม ซึ่งพวกเขาไม่ต้องลงแรงอะไรมากมาย เพียงแต่ยอมรับความจริง และยิ้มอย่างภาคภูมิใจ แต่ดูๆ แล้ว ส่วนใหญ่ เลือกที่จะอยู่ Glass Closet ต่อไป

มันก็ช่วยไม่ได้นะครับ ที่คนเราต่างจิตต่างใจ สำหรับผมแล้ว ผมอยากจะเรียกคนกลุ่มนี้เสียใหม่ว่า “เสียของ”

-end-

All rights reserved.

14 comments:

Anonymous said...

โอ้โฮ....อ่านแล้วดุ เด็ด เผ็ด มัน จริงๆ คอลัมน์วันนี้
ดูเหมือนพี่ยอดจะ รำคาญ คนที่ GLASS CLOSET นะ.....

ขอตัดริบบิ้นนะ วันนี้ :))

Unknown said...

อ่านแล้วเป็น ปลื้ม ค่ะ

ดิฉันเป็นปลื้มจริงๆ นะคะ
ไม่ได้จะหมายถึงใคร

แต่ก็อย่างว่าแหล่ะค่ ชีวิตเขาไม่ใช่ชีวิตเรา
เขาจะเปิดหรือเขาจะปิด ก็สุดแท้แต่ใจเขาเถอะค่ะ

บางที เขาก็อาจจะติดอยู่ในสัญญาว่าจ้าง อยู่ก็ได้นะคะ

Anonymous said...

ขอร่วมแจมความเห็นด้วยคนเกี่ยวกับประเด็นข้างล่างนี้น้ะครับ

"ผมคิดว่า คนที่อยู่ Glass Closet ยิ่งเป็นคนที่ดังแล้ว-รวยแล้ว ยิ่งต้องมีจิตสำนึกถึงสังคมส่วนรวมในการพูดความจริง เพราะการพูดความจริง และยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็นจะช่วยแก้ไขความเข้าใจผิด ขจัดอคติในสังคมที่ไม่ดีต่อบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศได้อย่างดีที่สุด"

เฮ้อ... เข้าใจนะครับว่าพี่วิทย์ ปรารถนาจะเห็นสังคมที่ไม่ใช้ความแตกต่างของแต่ละบุคคลมาเป็นเครื่องแบ่งแยก กีดกัน แต่ก็อย่างที่คุณ สาวอิสานรอรัก ว่าไว้ ชีวิตใครก็ชีวิตมัน จะหาคนดีศรีสังคมที่ตระหนักถึงคุณค่าของตัวเองในการ "ขจัดอคติในสังคม" เพื่อช่วยสร้างจิตสำนึกที่ดีย่อมยากเย็น เพราะสมมติว่าถ้าตัวผมเป็นคนที่ ดังแล้ว + รวยแล้ว ขึ้นมา(ชาติหน้าคงจะจริง) ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะ "ลงทุน" พูดความจริงแล้วรอรับปัญหาและแรงกดดันจากสังคมที่จะเกิดขึ้นได้หรือเปล่า เพราะคงไม่มีใครที่อยู่สบาย ๆ แล้วอยากทำให้ตัวเองลำบากหรอกนะครับ แล้วยิ่งถ้า "ปกปิด" มานานแสนนานแล้วจะให้ "เปิดเผย" กันง่าย ๆ คงจะยิ่งไม่มีทาง มันเหมือนเป็นปัญหาเรื้อรัง แต่ผมเชื่อนะครับว่าถ้าในบ้านเรามีคนที่มีอิทธิพลทางสังคมสักคนที่มีความกล้าลุกขึ้นมาเปิดเผยตัวเอง ก็คงจะมีคนอีกไม่น้อยที่จะเดินตามรอยเท้าเขา เพียงแต่ตอนนี้เราคงต้อง รอ ร้อ รอ ต่อไป คงอีกไม่นาน..... น ... น ... เกินรอ

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน สู้ ๆ ต่อไปครับ ^_^

Anonymous said...

ผมว่าไม่มีใครผิดหรอกนะ ที่จะประเมินสถานการณ์ส่วนตัวของตัวเองว่าอย่างไร
.. จะตัดสินใจอย่างไร
.. รับมือกับมันอย่างไร ฯลฯ

ใครจะมาคิดคำเก๋ๆอย่างเช่น Glass Closet เอาไว้เปรียบเทียบ เรียกขาน หรือ แดกดัน อย่างไร
ใจคนอื่น ปากคนอื่น ..เราคงไม่มีสิทธิ์ไปห้ามนะครับ
ไม่ว่าจะแค่หมั่นใส้ อยู่ห่างๆ /นินทาอยู่ลับๆ หรือ ตะโกนปาวๆผ่านโทรโข่งให้ได้อาย
ทนได้ก็ทนกันไป ทนกันไม่ได้ก็ชกหน้ามันสักเปรี้ยง
แล้วไปเสียค่าปรับที่โรงพักฯ
อย่างเก่งโดนชกกลับก็หน้าบวมพอๆกัน

ส่วนเรื่อง"การสร้างภาพ"
ผมว่า เอาเข้าจริง เราแต่ละคนก็ล้วนมี"ภาพ"ที่เราประสงค์ให้คนอื่นยอมรับอยู่ในใจกันทั้งนั้นละครับ
ตราบใดที่เรายังอยู่ในสังคม มีคนให้แคร์ มีหน้าที่รับผิดชอบ มี ฯลฯ เรื่องราวเหล่านี้ซับซ้อน และต่อเนื่อง มากกว่าความเกย์/ไม่เกย์ ซะอีกนะครับ

ผมกำลังคิดเล่นๆนะ ว่าถ้าคนที่คุณวิทยาบอกว่าอยู่ใน Glass Closet ทุกคน พร้อมใจกันแถลงข่าวพรุ่งนี้เช้า
มันจะเป็นยังไงต่อไป

ผมคิดไว้ประมาณนี้นะ
"อ้าว ..เป็น?ด้วยเหรอ ?"
"กรูว่าแล้ว...."
"เฮ้ย ...ไอ้นี่ก็เป็นนะ แต่มันยังไม่ยอมเปิดเผย"
"ทำไมไอ้นี่เปิด แล้ว ไอ้นี่ยังแอบอยู่อีกวะ ?"
ฯลฯ

ผมแค่มองโลกอย่างที่มันเป็นนะครับ
จนิงๆแล้วในบรรดาเกย์ด้วยกันเอง ก็ยังมีอะไรๆหลายๆอย่างที่แตกต่างกันอยู่
เป็นความแตกต่างที่เราก็รู้สึก และบางทีก็ไม่ทราบว่าจะพิจารณามันอย่างไร

ผมว่าเราควรยอมรับตัวเองอย่างที่เราเป็นนั่นแหละ เหมาะสมที่สุด

เรื่องราวอคติต่างๆ ไม่จำเพาะว่าต้องเป็นเรื่องเพศ
ขึ้นชื่อว่า อคติ มันส่งผลกระทบที่ไม่มีใครต้องการทั้งนั้น รวมถึง อคติที่คุณๆทั้งหลาย ที่ coming out มีต่อคนที่ ยังไม่ out หรือคนที่เฉยๆ (เฉยจริงๆ)แต่คุณก็ไปเหมาเอาว่าเขาไม่กล้า ไม่อยาก out

ไหนๆคนเป็นเกย์ก็มีความรู้สึกตัวเองว่า "แตกต่าง"อยู่ไม่น้อยแล้ว
ผมว่าคุณวิทยาหาบทความสนุกๆมาเล่าให้ฟังแบบเดิมๆดีกว่า จะไปเอ่ยถึงเรื่องที่อ่านแล้วทำให้ไม่สบายใจ

ในประเด็นเรื่องเกย์/ไม่เกย์ - ผมเองไม่ค่อยเชื่อ ว่ามันเกี่ยวข้องกับพลังอำนาจของคนมีชื่อเสียงเท่าไหร่
ผมมองที่ผลงาน ของเขามากกว่า และผมไม่เชื่อว่า " การพูดความจริง"เกี่ยวกับเพศสภาพของเขา จะแก้ไขอะไรได้
ความมีชื่อเสียงของเขา ในทางตรงข้ามกับที่คุณวิทยาเขียนมา ... อาจทำให้เขามีสิทธิ์ที่จะตกเป็น"เหยื่อ" มากกว่าที่จะได้รับเสียงชื่นชม หรือ ช่วยแก้ไขความเข้าใจผิด ขจัดอคติในสังคม ฯลฯ อย่างที่คุณตั้งสมมติฐานไว้

ส่วนจะ"ของเสีย" หรือ"เสียของ" มันก็เป็นของของเขา เราคงไม่สามารถเอาตัวเเราเข้าไปหงุดหงิด จนทำให้เราไม่มีความสุข

นะครับ
big

Anonymous said...

ปล. น้องสาวอิสานฯ

ผมรู้นะ ว่าที่"เป็นปลื้ม"น่ะ หมายถึงใคร
และใครที่"เป็นปลื้ม"คนนั้นอยู่

อิ อิ อิ

เปลี่ยเสียงหัวเราะใหม่ดีกว่า เป็น

อ้าก อ้าก อ้าก

Unknown said...

ไม่นะ ฉันไม่ได้พูดถึงใคร

อ่านแล้วฉันก็สงสัยว่ากับพูดถึง

1. อาจารย์ ยิ่งสัก
2. เจ้เด
3. มัม ลาโคเหนียก
4. น้องปอยไหม มิสทิฟฟานั่น
5. วะสัน อุตะมะโยทีน
6. ป้าแจ่ว
7. เจ้ไก่ขัน
8. ฯลฯ

กันอยู่หรือไร
(ประชด ค่ะ ประชด)

Anonymous said...

คุณสาวอิสานรอรักนี่ ช่างตอบบทความได้ถึงอกถึงใจจริงๆเลย จนแทบจะเอาหน้าตามาไว้แทนคำว่า "สาวอิสานรอรัก" เลยนะ

เห็นคำพุดของคุณแล้ว แทบจะจินตนาการหน้าตา อาการ ท่าทางคุณออกเลยนะว่าเวลาโมโห หรือเวลาทำสวย จำทำหน้าตาอย่างไร

เห็นด้วยกับบทความของคุณวิทยาอาทิตย์นี้จริงๆ เลย แต่ก้ออกจะรู้สึกรำคาญๆ นะ ไม่รู้จะ "แอ๊บ" กันไปให้มันได้อะไรขึ้นมา คือก็ไม่ต้องป่าวประกาศให้ชาวโลกเค้ารู้หรอกว่าเป็นหรือไม่เป็น แต่แค่ยอมรับตัวเองและให้คนอื่นยอมรับตัวเรา อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร แค่นี้ก็น่าจะมีความสุขแล้วนะครับ

แต่จะอย่างไรก้แล้ว มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละบุคคล ถ้าคิดว่าทำหรือเป็นอย่างนั้น มีความสุขจริงๆ แล้วล่ะก็ทำไปเถอะคับ แต่ถ้าหากว่าได้อ่านบทความอาทิตย์นี้แล้ว อยาก "ปลดพันธนาการ" ของตัวเองก็ทำเถอะครับ ความสุขในชีวิตคนเรามีน้อยจะตายไป รีบๆ ไขว่คว้าเข้าเถอะ

"คนของความสะใจ"

Anonymous said...

โฮะๆๆๆๆๆ (หัวเราะจีบปากจีบคอ)

พอดีดิฉันเป็นดาราเจ้าบทบาทนะค่ะ
แล้วแต่ผู้กำกับจะสั่งนะค่ะ

ส่วนตัวแล้ว ดิฉัน "ไม่โกรธ ไม่อิจฉา" ค่ะ
ดิฉันเข้าใจว่า cyber space ใครจะเป็นอะไร ก็ได้
อาจจะจริง หรือ อาจจะไม่จริง

สาวอิสานรอรัก

Anonymous said...

เหมือนสร้างมาตรฐานจริยธรรมขึ้นมาใหม่เลยครับ ว่า เกย์ต้องยอมรับตัวเองและถ้าคุณยิ่งดังยิ่งรวยแล้ว คุณต้องรับผิดชอบในการให้สังคมยอมรับตัวตนจริงๆ ของคุณด้วย
งั้นขอตั้งคำถามว่า สังคมจะยอมรับเราได้ขนาดไหนครับ โดยเฉพาะสังคมไทย...

Anonymous said...

ผมชอบอ่านบทความของพี่ เสมอ

แต่คราวนี้ ผมว่า พี่อย่าเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง เร้ยยย

เรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่แค่มิติเดียว แล้วจะจบ

"ฉันเป็นเกย์ แร้วจะทำไม ..ใครเดือนร้อนเหรอ
ถ้าฉันมีชื่อเสียง ถ้าฉันรวย สะอย่าง จะทำไม
นี่แหละตัวอย่างของคนที่เป็นเกย์ ก็เป็นคนดีของสังคม เป็นที่นับถือของสังคมได้ ."



คุณวิทยา คิดว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้ สังคมในโลกจริงๆ ยอมรับมันเหรอ..

ผมว่า คุณยังอยู่ในกะลา ที่ล้อมรอบด้วยคำว่า สังคมเกย์ อยู่นะ

มีข้อความหนึ่งของคนที่มาตอบ แล้วผมเห็นด้วยย
.....



ผมไม่เชื่อว่า " การพูดความจริง"เกี่ยวกับเพศสภาพของเขา จะแก้ไขอะไรได้
ความมีชื่อเสียงของเขา ในทางตรงข้ามกับที่คุณวิทยาเขียนมา ... อาจทำให้เขามีสิทธิ์ที่จะตกเป็น"เหยื่อ" มากกว่าที่จะได้รับเสียงชื่นชม หรือ ช่วยแก้ไขความเข้าใจผิด ขจัดอคติในสังคม ฯลฯ อย่างที่คุณตั้งสมมติฐานไว้

Anonymous said...

สาววายอย่างเรามันอยู่ในประเภทไหนเนี่ย ปัญหาของเราก็คือ ยังไม่กล้าบอกพ่อแม่ว่าเราเป็นสาววาย ถ้าบอกไปว่าลูกสาวคนเดียวสะสมนิยายเกี่ยวกับเกย์ มีหวังบ้านแตกแหงๆ

Vitaya Saeng-Aroon said...

ขอบคุณทุกท่านสำหรับทุกความเห็นนะครับ

Anonymous said...

ทำไมเป็นตู้กระจก? ตอนแรกคงเป็นตู้เหล็กทึบกันกระสุน บางลงๆๆ กลายเป็นไม้ เป็นกระจกทึบ และเป็นกระจกใส จนบางคนเลือกที่จะทุบมันทิ้งและเดินออกมาอย่างสง่า ทั้งหมดนี้เพียงเพราะมนุษย์ต้องการการยอมรับ
เพื่ออะไร? เพื่อเขาจะได้สมบูรณ์ขึ้นๆจนเป็นฝ่ายให้บ้าง จริงๆแล้วหากมนุษย์ไปถึงยังเป้าหมายสูงสุดในชีวิตแล้ว เค้าจะมีเป้าหมายใหม่คือ ความผาสุกของสังคมโลก
ผมกำลังจะบอกว่าเราทุกคนเดินอยู่บนหนทางเดียวกัน มีปลายทางเดียวกัน แต่มักอดไม่ได้ที่จะประเมินคนอื่น แต่ก็ทำไปเพราะความ”เชื่อว่าดี“
เด็ก(มุ่งแต่)เรียน และเด็ก(มุ่งแต่)กิจกรรม ต่างก็ทำในสิ่งที่ตน”เชื่อว่าดี”ทำแล้วมีความสุข โดยหวังว่าจะก่อประโยชน์เมื่อสำเร็จการศึกษา แต่...
เด็กกิจกรรมได้เกรดแย่ เด็กเรียนทำคะแนนสูงลิ่ว ครู(ผู้ตัดสิน)จำเป็นต้อง(?)ตัดเกรดให้เด็กกิจกรรมสอบตก ระบบการประเมินก็ไม่มีวิชากิจกรรมซะด้วย เรื่องนี้เด็กกิจกรรมเกลียดเด็กเรียนเข้าไส้ แต่สักพักเค้าก็รู้ว่า เกรดเป็นแค่มาตรวัดอย่างหนึ่ง เพียงแค่มันได้รับการยอมรับมากกว่าเท่านั้น คิดได้ดังนี้ก็ทำสิ่งที่ตัวเองเชื่อต่อไป
เด็กเรียนตักตวงความรู้จนประสบความสำเร็จสูงสุด สร้างสรรค์สิ่งดีๆแก่มวลชน แม้ต้องใช้เวลานาน และเหมือนจะแปลกแยก หรือไม่สนใจความคิดเห็นคนอื่น ไม่แคร์ใคร

ไม่มีใครเอาครอบครัวขึ้นเวทีคอนเสิร์ตได้สวยงามเท่าป้าเบิร์ด (ผมได้คุณค่าหลายอย่างจากภาพนั้น) ถ้าเป็นคนอื่นที่ร้อง”ต้นไม้ของพ่อ”คนไทยอาจไม่มีสื่อที่จะช่วยให้ตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงได้อย่างเข้าถึงก้นบึ้งหัวใจทุกหมู่เหล่าอย่างกว้างขวางเช่นนี้
ผมศรัทธาพี่วิทย์ พี่เป็นrolemodelของผม เกย์ชาวไทยหลายคนน่าจะมีผลงานของพี่เป็นแสงนำทาง ไม่เห็นต้องรวย ต้องดัง แต่คุณภาพคับแก้ว
ทั้งพี่วิทย์ ป้าเบิร์ด ผมเอง อจ.ยิ่งสัก เจ้เด มัม ลาโคนิค น้องปอย มิสทิฟฟานี่ นังท๊อปเพื่อนผม คุณสาวอิสานฯ คุณbig ฯลฯ เราต่างเดินไปบนทางที่หวังว่า จะสรรค์สร้างสิ่งดีงาม เพื่อตนเอง และในที่สุดก็เพื่อสังคมโลก หวังแต่ว่าจะไม่มีใครเอาเกณฑ์มาตัดสินให้เราสอบตก ด้วยการอ้างว่านี่เป็นที่ดีที่สุด คุณคือจุดอ่อน จงแก้ไข มิฉะนั้น ก็จงยอมเป็นสิ่งไร้ค่า

ขออ้างถึงคำของท่านพุทธทาสด้วยความเคารพ
”มองแต่แง่ดีเถิด”
เขามีส่วน เลวบ้าง ช่วงหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง ฯ

Anonymous said...

ขอแก้ไขหน่อยคับ เขียนตกคำว่า"เกณฑ์ตัดสิน"ไปคับ

หวังแต่ว่าจะไม่มีใครเอาเกณฑ์มาตัดสินให้เราสอบตก ด้วยการอ้างว่านี่เป็น"เกณฑ์ตัดสิน"ที่ดีที่สุด คุณคือจุดอ่อน จงแก้ไข มิฉะนั้น ก็จงยอมเป็นสิ่งไร้ค่า