Monday, July 2, 2007

ความอบอุ่นแบบแปลกๆ


เลิกแอบเสียที วิทยา แสงอรุณ 30 มิ.ย.–1 ก.ค. 2007 เซคชั่น MetroLife จากนสพ. ผู้จัดการรายวัน วันเสาร์

มีคนเคยบอกผมว่า เพื่อนที่เราเจอที่มหาวิทยาลัยจะคบกับเราไปยาวนานมาก ยิ่งถ้าเราได้เรียน กินนอน ไปเที่ยว ทำกิจกรรมกันบ่อยๆ เราก็จะคบกันยาวนานยิ่งขึ้นหลังเรียนจบ

เท่าที่นึกดู เพื่อนส่วนใหญ่จากมหาวิทยาลัยเดียวกันที่ผมคบอยู่และสนิทกันอยู่จนถึงบัดนี้ก็มักจะเป็นเพื่อนผู้หญิง หรือไม่ก็เป็นเกย์

เพื่อนเกย์ที่ว่า ผมก็เพิ่งรู้ว่าเขาก็ใช่ก็ตอนเรียนจบไปนั่นแหละ สมัยเรียน เรื่อง “ผีเห็นผี” หรือ “สบตากันก็รู้ความนัย” ก็พอจะมีนะครับ แต่เรื่องจะให้กระชากผีออกมาน่ะ ผมคงไม่กล้า เพราะผมก็กลัวว่า เค้าจะลากผมออกมาเหมือนกัน

บางทีก็นึกสงสัยตัวเองว่า ทำไมพอเรียนจบ เราไม่ค่อยมีเพื่อนที่เป็นผู้ชายเลยนะ หมายถึง ชายรักหญิงน่ะ? หรือตัวผมเองเลือกที่จะไม่คบพวกเขาไปเองโดยไม่รู้ตัว?

ผมพยายามนึกหาคำตอบอยู่นาน บางคำตอบคงคล้ายๆ กับท่านผู้อ่านอยู่บ้างนะครับ อย่างเช่น คงเป็นเพราะกลัวจะคุยกันไม่รู้เรื่อง? กลัวจะโดนดูถูกเหยียดหยาม? กลัวจะโดนเขาแกล้ง? กลัวใจตัวเองไปแอบหลงรักเค้า? กลัวชาวบ้านเข้าใจผิด? กลัวว่าเขาจะปฏิเสธตัวตนของเรา? กลัวว่าเขาจะคิดว่าเราเข้าหา? สารพัดจะกลัว

หรือกลัวว่าเรา “ไม่ดี” หรือ “ไม่มีคุณค่า” พอที่เขาจะคบด้วย ?

ผมเคยนึกถึงสิ่งเหล่านี้และพยายามค้นหาคำตอบอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่เคยสำรวจความรู้สึกของตัวเองจริงๆ จังๆ เสียทีจนกระทั่งเร็วๆ นี้ ได้มีโอกาสเหมาะเพราะกิจกรรมล้อเล่นกันบนเว็บแท้ๆ

เพื่อนๆ รุ่นเดียวกับผมทำเว็บไซต์นั้นขึ้นมาสำหรับติดต่อสื่อสารเฉพาะเพื่อนร่วมรุ่น เว็บไซต์ดังกล่าว เป็นเหมือนสะพานเชื่อมเพื่อนเก่า รื้อฟื้นความทรงจำสมัยเรียน รวมทั้งเรื่องสนุกๆ ที่เคยทำ ผมบอกได้เลยล่ะครับว่า รู้สึกเป็นเด็กอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้

และที่สำคัญ ทำให้ผมมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนบางคนที่เคยหน้าแต่ไม่เคยทักกันเลยตอนเรียน หรือไม่ก็ ไม่เคยรู้มาก่อนว่า เขาและเธอมีตัวตนอยู่ในรุ่นเดียวกัน

ในเว็บนั้น มีห้องแชท และมีกระดานสนทนาเหมือนเว็บทั่วไป ไป ตอนแรก ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ผมควรเปิดเผยแค่ไหน เขาจะรับสิ่งที่ผมเขียนหรือรู้สึกได้ไหม เพราะในนั้น มีอีกหลายคนที่ผมไม่รู้จัก และคงมีคนแอนตี้เรื่องเกย์อยู่แน่นอนเหมือนคนในหมู่เหล่าอื่นๆ อีกอย่าง ผมก็ไม่คิดว่า จะได้เจอหน้าพวกเขา งั้นผมจะเปิดเผยอะไรมากมายไปทำไมล่ะ?

แต่...ถ้าผมปิดบังตัวเอง ไม่กล้าจะพูดหรือเขียนสิ่งที่ตัวเองเชื่อและรู้สึกกับเพื่อนเก่าสมัยเรียน งั้น...ผมก็ยังไม่เลิกแอบน่ะสิ? ผมเลิกคิดวุ่นวาย หรือต้องไตร่ตรองมากมายเกินเหตุ ผมเข้าไปคุยกับเพื่อนๆ ในนั้น ทั้งที่รู้จักหน้า และไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนโดยไม่ปิดบังว่า ผมเป็นเกย์คนหนึ่ง

เพื่อนบางคน (ผู้หญิง) บอกว่า เขาเคยอ่านคอลัมน์นี้มาก่อน แต่ไม่รู้ว่าเป็นผม (วิทยา แสงอรุณเป็นนามปากกาน่ะครับ) เพื่อนบางคนบอกว่า ฉันก็สงสัยแกอยู่เหมือนกัน บางคนก็บอกว่า ตกใจ ทำไมถึงพูดจาเปิดเผยขนาดนั้น เพื่อนบางคนแอบกระซิบถามเพื่อนอีกคนว่า หมอนี่เป็นกะเทยหรือเปล่า เพื่อนบางคนก็ทักทายผมเฉยๆ แต่มีเพื่อนบางคนนี่สิครับโดนล้อเล่นว่า เป็น “กิ๊ก” กับผม

ผมก็นึกว่า พอโดนล้อเล่นสักพักจะเลิกกันไปเอง แต่ดูเหมือนยังเล่นกันไม่เลิก คนที่โดนล้อว่า เป็นกิ๊กกับผมมีอยู่สองคน คนหนึ่งแต่งงานมีลูกแล้ว และอีกคนยังไม่แต่ง เขาเพิ่งเลิกกับแฟน และเพื่อนที่จุดประเด็นล้อเล่นว่า สองคนนี้เป็นกิ๊กกับผม ก็เป็นผู้ชาย

ประเด็นที่ว่า เขาทั้งสองเป็นเกย์แอบหรือเป็นไบฯ คงตัดไปได้เลย เพราะผม “ไม่เห็น ผี” ในตัวเขาทั้งสอง (ใครมีคำอื่นแทนว่า เห็นผี ช่วยแนะนำด้วย)

ผมต้องยอมรับว่า ตอนแรก ก็งงๆ ที่เพื่อนมาล้อเล่นกันอย่างนั้น พวกเขาเขียนล้อเล่นกันถึงขั้นที่เรียกว่า เราเป็นกิ๊กกันแบบ “เราสามคน” และรักกันมากมายซะเหลือเกิน ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ผมอ่านแรกๆ ก็ขำไป เพลินไป

ขณะที่เพื่อนๆ รวมทั้งตัวกิ๊กทั้งสองร่วมล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน ต่อๆ มา ผมเองนั่นแหละที่เกิดกังวลขึ้นมาซะดื้อๆ

นี่ถ้าคนอื่นๆ เข้ามาอ่านในบอร์ดโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ บางคนคงคิดว่าเป็นเรื่องจริง และกิ๊กปลอมสองคนของผมจะได้รับผลกระทบ หรือโดนเข้าใจผิดจากคนอื่นๆ หรือเปล่า? ผมถามตัวเองตลอด

คุณว่าผมคิดมากไปมั๊ย? มันก็เรื่องล้อเล่นทั้งนั้น ใครจะถือเป็นจริงเป็นจัง?

แต่ถามเข้าจริงๆ ผมก็ยังห่วงกังวลอย่างนั้นอยู่นะ บางครั้งผมเองนั่นแหละที่รู้สึกเกร็ง และเขินซะเองเวลาเค้าแสดงความเป็นห่วงเป็นใยผมแบบล้อเล่นกัน จนกระทั่ง เวลาโพสต์ในบอร์ดในฐานะ “หนึ่งในครอบครัวเราสามคน” ผมต้องเขียนทิ้งท้ายไว้นิดหนึ่งให้คนอื่นๆ ที่เกิดผ่านมาอ่านว่า เรื่องที่เขียนน่ะล้อเล่นกันทั้งนั้น

ใจหนึ่ง ผมอดคิดชื่นชมเขาสองคนไม่ได้ที่เขาใจดี และใจกว้างที่ล้อเล่นกับผมได้ซะทุกเรื่อง และอีกใจหนึ่งก็อดปลื้มตัวเองไม่ได้ (ปลื้มแบบหลังคงเยอะ ขอยอมรับ) ว่า เราต้องมีอะไรดีเขาถึงมายอมล้อเล่นกับเราขนาดนี้? มันเป็นความอบอุ่นใจแบบแปลกๆ น่ะครับ

การที่มีเพื่อนผู้ชายถึงสองคนมาล้อเล่นแบบนี้กับผม ทำให้ผมกลับไปคิดเรื่องนั้นอีกว่า ทำไมผมถึงไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทๆ เป็นผู้ชาย ผมปิดกั้นตัวเองที่จะเข้าไปเสวนากับพวกเค้า? ผมคิดไปเองว่า ผมคงคุยกับพวกเขาไม่รู้เรื่อง ผมกลัวไปต่างๆ นานาแบบที่เคยคิดหรือเปล่า?

ไม่หรอก ลึกๆ ผมคงคิดอยู่ว่า ผมไม่ดีพอที่จะคบกับพวกเขา ผมกำลังเปรียบเทียบอยู่ว่า ผมเป็นผู้ชายเกย์ ขณะที่เขาเป็นผู้ชายทั่วไป พวกเขาอยู่เหนือกว่าผม ผมเหมือน "ผู้ชายชั้นสอง" แล้วผมก็ถามตัวเองต่อไปว่า ใคร หรืออะไรกันนะที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกอย่างนั้น

การที่คนเราคิดว่า ตัวเองไม่ดีพอที่จะคบกับใครบางคน ไม่ฉลาดพอที่จะคุยกับใครบางคน ไม่สวย ไม่หล่อ ไม่เด่นพอ หรือกลัวไปต่างๆ นานากับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็ไม่ต่างอะไรจากการปิดกั้นโอกาสของตัวเองที่จะทำให้เราได้ค้นพบคนอื่น และเราอาจจะไม่มีวันค้นพบเลยว่า ตัวเราเองเป็นใคร เรารู้สึกยังไงกันแน่

ผมพบกว่า เมื่อเราเรียนรู้ที่จะรู้จักตัวเองให้มากยิ่งขึ้น ผมว่านั่นแหละมันคือ สิ่งสวยงามและมีคุณค่าสำหรับชีวิตเรา เมื่อเรามั่นใจยิ่งขึ้นว่า เรามีคุณค่าพอที่ใครๆ จะมาคบหาเป็นเพื่อนด้วย นั่นแหละเราจะไม่รับรู้ถึงความแตกต่างระหว่าง “เรากับเขา” อีกต่อไป

-end-

All rights reserved.

7 comments:

Vitaya Saeng-Aroon said...
This comment has been removed by the author.
Vitaya Saeng-Aroon said...

(สวัสดีครับน้องๆ เพื่อนๆ
เสียดาย เขียนกรณีโนโวเทลไม่ทันสัปดาห์นี้
ปิดต้นฉบับไปเสียก่อน สัปดาห์หน้าจะนำมาเสนอ
และกัน เบื้องหลังข่าวนี้...)

Anonymous said...

แต่ว่าผมเองกลับมีเพื่อนสนิทเป็นผู้ชายทั้งนั้นเลยนะครับ
ทว่าก็ยังรู้สึกว่ามีกำแพงที่เราเองกั้นไว้ไม่ให้สนิทมากเท่าที่ควรจาเป็น
จนเมื่อวันเสาร์ได้ไปถ่ายรูปรับปริญญากับเพื่อนๆ
ก็รู้สึกเหมือนกันครับ
และก็ได้คำตอบเหมือนกันคือ บางทีความคิดของเราเองที่เป็นคนที่ทำร้ายเรา
เพราะเพื่อนก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ จนถึงวันนี้มีคนที่รู้ความจริงจากปากผมแล้ว
แต่เขาก็ยังดีกับผมอยู่
แถมยังมีแอบแซวด้วย...ซะงั้น

เด็กน้อย

Anonymous said...

หวัดดีคับพี่วิทย์

เข้ามาเสนอความเห็นอ่ะคัฟ
เห็นบอกว่า คำว่า "ผี"จะมีคำไหนมาแทนได้ใช่ป่าวคับ ผมเสนอว่า ให้ใช้คำว่า แสงสว่าง" หรือ "ทางสว่าง" แทนอ่ะคัฟ เช่น ผมยังไม่เห็นแสงสว่างในตัวของเค้าเลย อะไรประมาณเนี่ยอ่ะคัฟ ฟังดูแล้วน่ารักจัง เหมือนเค้ายังไม่ค้นพบอ่ะคัฟ 555++

บทความอาทิตย์นี้ อ่านแล้วอบอุ่นจังเลย หรือว่าแก่แล้วครับเนี่ย ที่อ่านแล้วเริ่มรู้สึกตัวเองว่า ทำไมชอบคิดถึงแต่เรื่องเก่าๆ จังเลย บางครั้งเรื่องเก่าๆ ก็มีความสุขจังเลยนะครับ

ผมจะค่อนข้างแตกต่างจากเกย์โดยทั่วไปนะครับ พอผมอ่านแล้ว ผมรู้สึกว่าผมต่างจากพี่ตรงที่ พี่วิทย์บอกว่าไม่ค่อยมีเพื่อนผู้ชายคับ แต่ผมเอง เพื่อนที่เป็นผู้ชายแท้ๆ ที่ฟันหญิงดะเลย ค่อนข้างจะเยอะมากซะด้วย เพราะว่าในกลุ่มบรรดาเพื่อนๆของผมเอง ผมไม่ได้ปิดบังอะไรพวกเค้าหรอก

พวกเค้ากลับมองถึงความสุขที่ได้รับกับการพูด คุย พบปะ กับผมมากกว่า จนมองข้ามเส้นแบ่งแยกระหว่าง หญิง หรือชาย หรือแม้กระทั่งเกย์เองก็ตาม ผมจึงไม่มีปัญหาในการคบเพื่อนชาย หรือ หญิง เพราะผมเองก็เข้าได้กับเพื่อนทุกกลุ่ม พวกเพื่อนๆ ของผมเองก็ค่อนข้างระวังคำพูดที่พูดจากับผม เช่นคำว่า กะเทย ตุ๊ด แต๋ว อะไรพวกนี้ จะไม่ค่อยมีออกจากปากพวกเพื่อนของผมเลย ถ้าจะพูดส่วนมากจะเป็นผมเองซะมากกว่าที่พูดเอง

ผมเองจะเข้ากลุ่มกับเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องกิจกรรมต่างๆ พวกเพื่อนๆ จะให้ความไว้วางใจผมมากในการเป็นตัวแทนต่างๆ หรือแม้แต่การแสดงออกต่างๆ เช่น การไปร้องเพลงคาราโอเกะบนเวที หรือการแสดงในที่ชุมชน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่พวกเค้าไม่สามารถทำได้ แต่ผมสามารถทำได้ ผมจะได้รับคัดเลือกทุกครั้งไป

ขอบคุณมากครับที่นำบทความดีๆ อาทิตย์นี้มาให้อ่าน ทำให้ผมพลอยมีความสุขไปด้วย อ่านไปยิ้มไป และถึงตอนนี้บอกได้เลย พวกบรรดาเพื่อนผู้ชายของผม ก็ยังมองผมเหมือนเดิม และยังคบกันอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

""คนของความสะใจ""

Anonymous said...

หายไปนานอ่านทีย้อนหลังสองสามเดือน ^_^
เสียดายเรื่อง"อัตลักษณ์ทางเพศ"ที่หลุดจาก
รัฐธรรมนูญครับ

คิดถึงเมืองไทย

O1235

Anonymous said...

ชอบบทความของอาทิตย์นี้จัง อ่านแล้วนึกถึงตอนสมัยเรียนค่ะ พี่วิทย์ ส่งเมล์ไปหานะคะ ตอบด้วยค่ะ

Anonymous said...

เขียนได้เยี่ยม "เยี่ยม" เลยครับ

อ่านแล้วรู้สึกดี